จะเป็นอย่างไรถ้าในอนาคตคนไทยครอบครองบ้านได้ยากขึ้น?
สังคมมหาเศรษฐีของโลกเริ่มขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยจากรายงานระบุว่ากลุ่ม ‘Ultra-rich’ หรือคนที่มีทรัพย์สินมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย Ultra-rich ที่มีการเติบโตมากที่สุดในโลกก็คือชาวจีน
ซึ่งประชากรกลุ่มไม่เพียงแต่จะสามารถสะสมทรัพย์สินตั้งแต่อายุยังน้อยได้โดยไม่ต้องทำงานเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจในการกว้านซื้อที่ดิน รวมถึงอสังหาริมทรัพย์รูปแบบต่างๆ ในต่างประเทศอีกด้วย อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของ Ultra-rich อาจกระทบกับหลายประเทศที่กำลังเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจ รวมถึงประเทศที่การบริโภคภายในประเทศยังคงซบเซาได้
โดยบทความนี้จะพาทุกคนไปสำรวจกันว่าการขยายตัวของชนชั้น Ultra-rich จะก่อให้เกิดผลกระทบกับสังคมอย่างไร แล้วควรรักษาจุดสมดุลไม่ให้ปัญหานี้กลายเป็นปัญหาระดับชาติได้อย่างไร?
กลุ่ม Ultra-rich ชาวจีนเติบโตแซงหน้า USA พุ่งจำนวนสูงขึ้น 108%
ในบรรดาของเศรษฐีระดับโลก ประชากรกลุ่ม Ultra-rich ขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยจากรายงานของ New World Wealth และที่ปรึกษาด้านการย้ายถิ่นฐานการลงทุน Henley & Partners ระบุว่ามีกลุ่ม Ultra-rich หรือคนที่มีทรัพย์สินตั้งแต่ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขึ้นไปเพื่มจำนวนเป็น 54% จากทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศจีนและสหรัฐฯ
ดร. เจิร์ก สเตฟเฟน ซึ่งเป็น CEO ของ Henley & Partners บริษัทที่ปรึกษาด้านการย้ายถิ่นฐานเพื่อการลงทุนชั้นนำของโลกกล่าวว่า สหรัฐฯ และจีนเป็นประเทศที่มีจำนวน Ultra-rich เติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะในประเทศจีนที่มีจำนวนประชากร Ultra-rich เพิ่มขึ้น 108% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 81%
โดยคาดว่าสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศจีน ก็น่าจะมาจากการเพิ่มขึ้นของ Ultra-rich ในภาคเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมในช่วงปี 2013-2020 อย่างไรก็ตามเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจจีนกลับชะลอตัวลงทำให้เกิดการว่างงาน จนชาวจีนบางส่วนไม่มีอำนาจซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศของตัวเอง
แต่ถึงอย่างนั้น เมืองที่เป็นผู้นำทางด้านอุตสาหกรรม และมีศักยภาพด้านเทคโนโลยีสูงอย่างหางโจวและเซินเจิ้นกลับมีแนวโน้มว่าสังคมของ Ultra-rich ในเมืองนี้จะเติบโตโดดเด่นกว่าเมืองอื่นๆ 150% และเมื่อมีการลงทุนเกิดขึ้น การขยายตัวทางเศรษฐกิจในสองเมืองนี้จึงเติบโตเร็วกว่า GDP ของประเทศอยู่ที่ 5%
และด้วยจำนวนประชากรชาวจีนที่สูงกว่าประเทศอื่นหลายเท่า สเตฟเฟนคาดว่าทั้งสหรัฐฯ และจีนจะมีอัตราการเติบโตของกลุ่มเศรษฐี Ultra-rich สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่ประมาณ 75% ภายในปี 2040 ซึ่งเศรษฐีกลุ่มนี้ก็มักจะนำเงินหรือทรัพย์สินของตนไปลงทุนกับธุรกิจต่างๆ ทั้งในประเทศตัวเองและต่างประเทศ ซึ่งหนึ่งในธุรกิจที่เรียกว่าเป็นเป้าหมายของเศรษฐีกระเป๋าหนักกลุ่มนี้ก็คือ ‘อสังหาริมทรัพย์’ นั่นเอง
ในปัจจุบันกลุ่มเศรษฐี Ultra-rich เริ่มเดินทางเข้ามาลงทุนทำธุรกิจ และถือครองอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศมากขึ้น โดยคนกลุ่มนี้สามารถซื้อขาดอสังหาริมทรัพย์รูปแบบต่างในราคาสูงได้ จนทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในออสเตรเลียกำลังให้ความสนใจกับประเด็นนี้ เพราะผู้ซื้อชาวออสเตรเลียเองเริ่มได้รับความกดดันจากราคาอสังหาริมทรัพย์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญในช่วงนี้
ผลกระทบที่ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด ก่อนที่จะเสียมากกว่าได้
การถือครองอสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติไม่ได้สร้างผลกระทบในออสเตรเลียเพียงเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นในบางเมืองของสหรัฐฯ รวมถึงบางจังหวัดในประเทศไทยด้วย โดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยวที่มักจะดึงดูดกลุ่มนักลงทุนเศรษฐี Ultra-rich มากเป็นพิเศษ
ปกติแล้วธุรกิจการท่องเที่ยวในประเทศไทยมักจะเกิดขึ้นจากผู้ประกอบการ SME ตั้งแต่ระดับเล็กไปจนถึงระดับกลาง เมื่อมีการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาจึงทำให้เมืองท่องเที่ยวหลายเมืองมีความพร้อมที่จะรองรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมากขึ้น
โดยเฉพาะในเชียงใหม่หรือภูเก็ตที่มีนักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติเดินทางมาพักผ่อน และอยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนและชาวรัสเซียที่เข้ามาเร่งซื้อ และถือครองอสังหาริมทรัพย์จำนวนมาก เช่น Pool Villa คอนโดมิเนียม อาคารพาณิชย์ หรือแม้แต่สวนผลไม้ จนทำให้ธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวคึกคักมากขึ้น
เมื่อมีเม็ดเงินมหาศาลหลั่งไหลเข้ามา สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ในเมืองท่องเที่ยวก็ยิ่งพัฒนามากขึ้น เพื่อให้เพียงพอต่อการรองรับนักท่องเที่ยวชาวต่างที่เดินทางเข้ามาพักผ่อน แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าไม่มีมาตรการควบคุมอาจสร้างผลกระทบในระยะยาวมากกว่าได้เหมือนกัน เช่น
[ ] ราคาอสังหาริมทรัพย์สูงขึ้น
การเข้ามาลงทุนและถือครองอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย เช่น คอนโดมิเนียม วิลลา หรืออาคารพาณิชย์ของนักลงทุนชาวต่างชาติจำนวนมาก ทำให้ราคาที่อยู่อาศัยในประเทศไทยปรับตัวสูงขึ้น คนไทยโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่มีกำลังซื้อน้อยลงจึงเข้าถึงที่อยู่อาศัยยากขึ้นตามไปด้วย และนี่อาจทำให้เกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็ได้
[ ] การผูกขาดตลาด
ถ้านักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อ และถือครองอสังหาริมทรัพย์จำนวนมากโดยไม่มีการควบคุม อาจส่งผลต่อกลไกราคาและทิศทางตลาดได้ โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่ผู้ประกอบการชาวไทยส่วนใหญ่ยังเป็นแค่ SME ขนาดเล็ก ทำให้ชาวไทยแข่งขันกับธุรกิจของชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนได้ยากขึ้น และอาจเกิดการผูกขาดในบางพื้นที่ ทำให้ผู้ประกอบการไทยไม่สามารถทำธุรกิจต่อไปได้
[ ] ปัญหาด้านสังคมและวัฒนธรรม
วัตถุประสงค์หลักที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยก็คือ ต้องการสร้างธุรกิจที่รองรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากประเทศเดียวกัน เช่น นักลงทุนชาวจีนมักจะซื้อร้านอาหารในไทย และสร้างแอปพลิเคชันของตัวเองเพื่อให้นักท่องเที่ยวชาวจีนในประเทศไทยสามารถใช้ได้อย่างสะดวกสบาย
ซึ่งนอกจากรายได้ในส่วนนั้นจะไม่ได้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของไทยแล้ว แรงงานและทรัพยากรของทุนจีนเหล่านั้นยังไม่ใช่คนไทยอีกด้วย จนกลายเป็นช่องว่างทางสังคมระหว่างชาวไทยที่เป็นคนท้องถิ่นและชาวจีนที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยว หรือทำงานในประเทศไทย
ซึ่งอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นกับวิถีชีวิต รวมถึงบรรยากาศในชุมชนท้องถิ่น และทำให้บางพื้นที่สูญเสียเอกลักษณ์ท้องถิ่นของตัวเองไปได้
[ ] ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ
การพึ่งพานักลงทุนจากต่างชาติมากเกินไป และไม่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการชาวไทยได้มีอำนาจในการแข่งขันมากขึ้นอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจได้ โดยเฉพาะในยุคที่มีความผันผวนสูงอย่างทุกวันนี้ ถ้าเกิดว่าเศรษฐกิจจีนเกิดปัญหาขึ้นมา จนนักลงทุนพากันขายทิ้งพร้อมๆ กันก็อาจจะกระทบกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยอย่างรุนแรงได้
[ ] ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยว อาจส่งผลต่อระบบนิเวศทางธรรมชาติมากขึ้น อีกทั้งยังมีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติเพิ่มขึ้น เช่น น้ำ ไฟฟ้า ยิ่งไปกว่านั้น การพัฒนาโดยเน้นที่การเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวเป็นหลัก โดยไม่มีการควบคุมหรือวางแผนมาตรการมารองรับ อาจก่อให้เกิดปัญหาขยะและมลภาวะรุนแรงกว่าเดิมด้วย
ประเทศไทยเองก็เป็นหนึ่งในหลายประเทศที่พึ่งพารายได้หลักจากการท่องเที่ยว การเปิดรับการลงทุนจากต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นจีน สหรัฐฯ รัสเซีย หรือประเทศไหนก็ตามจึงนับว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศให้คึกคักมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลรวมถึงองค์กรที่เกี่ยวข้อง เช่น บริษัทข้ามชาติ หรือที่ปรึกษาด้านการลงทุนควรให้ความรู้ในเรื่องของข้อกฎหมาย และเรื่องที่จำเป็นอื่นๆ ให้กับชาวต่างชาติที่สนใจเข้ามาลงทุน และประชาชนชาวไทยจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
การเข้ามาของเงินทุนและกลุ่ม Ultra-rich ไม่ได้ทำลายเศรษฐกิจโดยตรง แต่ก็ต้องมีการวางแผน และมีมาตรการควบคุมที่ดีและครอบคลุม เพื่อไม่ให้เสียจุดสมดุลจนก่อให้เกิดผลกระทบด้านลบกับเศรษฐกิจ และเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับคนไทยที่เป็นทั้งผู้บริโภค รวมถึงเป็นเจ้าของกิจการที่ควรได้รับโอกาสในการแข่งขันทางเศรษฐกิจอย่างเสรีด้วย
อ้างอิง
– Buying The Dream | Are Chinese investors putting pressure on the Aussie property market? : 7 News Spotlight – https://bit.ly/3Q4C3ad
– Chinese investors snapping up real estate in Phuket : Kanana Katharangsiporn, Bangkok Post – https://bit.ly/42JHbIh
– Impact of visa-free policy and Chinese buyers on the Thai condo market : https://bit.ly/40ZNshM
#UltraRich
#trend
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast