แปลกไหม ที่ไม่อินกับการเดินทาง?
ในยุคนี้ แค่บอกว่า “ไม่ค่อยชอบเที่ยว” ก็อาจทำให้คนรอบข้างเบิกตากว้างพอๆ กับการบอกว่าไม่กินชานมไข่มุก หรือไม่เล่นโซเชียล เพราะในโลกที่ยกย่องการเดินทางให้เป็นเหมือนบันไดขั้นสำคัญของ “ชีวิตที่ดี” จนทำให้หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า ถ้าเราไม่ได้อินกับการไปต่างประเทศ ไม่ได้อยากแบกเป้เที่ยวโลก แล้วเราผิดตรงไหน?
แต่ความจริงแล้ว ปัจจุบันเริ่มมีกลุ่มคนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกว่า “การเดินทางไม่ใช่สิ่งจำเป็นในชีวิต” บางคนไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นกับการจองตั๋วเครื่องบิน หรือวางแผนเที่ยวล่วงหน้า บางคนเคยลองเดินทางแล้วพบว่ามันเหนื่อยกว่าที่คิด และไม่ได้รู้สึกเติมเต็มอย่างที่โฆษณาบอกไว้ บางคนก็แค่รู้สึกเฉยๆ กับการไปยังที่ใหม่ๆ โดยไม่มีเหตุผลซับซ้อนอะไรเลย
เมื่อมองให้ลึกลงไป เหตุผลเบื้องหลังความไม่อินนี้อาจมีหลายปัจจัย ทั้งเรื่องไลฟ์สไตล์ บุคลิกภาพ ภาระทางบ้าน หรือแม้แต่ข้อจำกัดทางสุขภาพ แต่หนึ่งในเหตุผลที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคือความเบื่อในกระแสสังคม
Fly Under the Radar แนวคิดของคนที่ไม่ต้องไปไหน แต่เข้าใจตัวเองดีพอ
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีแนวโน้มใหม่ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Gen Y และปลาย Gen Z ที่เริ่มหันมาให้คุณค่ากับการใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ไม่ต้องโดดเด่น ไม่จำเป็นต้องอัปเดตให้โลกเห็นตลอดเวลา แนวคิดนี้มักถูกอธิบายผ่านคำว่า “Fly Under the Radar” หรือการเลือกใช้ชีวิตแบบไม่อยู่ในความสนใจของใคร ไม่แข่งขัน ไม่รีบเร่ง ไม่ตามกระแส
ในเชิงจิตวิทยา แนวคิดนี้เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของคนที่มี Self-awareness สูง รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร
และไม่รู้สึกกดดันที่จะต้องพิสูจน์อะไรให้คนอื่นเห็น ซึ่งเป็นท่าทีที่แตกต่างจากความคาดหวังหลักในสังคม ที่มักยกย่องคนที่กล้าแสดงออก เดินทางบ่อย สำเร็จเร็ว และ “มีอะไรมาเล่า” อย่างไรก็ตาม ทั้งสองแบบไม่ใช่เรื่องผิดหรือถูก แต่สะท้อนวิธีจัดลำดับคุณค่าชีวิตที่แตกต่างกัน
แล้วทำไมแนวคิด Fly Under the Radar นี้ถึงเกิดขึ้น?
แม้จะดูขัดกับค่านิยมหลักของสังคมที่ยกย่องการใช้ชีวิตแบบเต็มที่กับทุกโอกาส แต่ในความเป็นจริง แนวคิด Fly Under the Radar ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความขี้เกียจ หรือไม่เอาไหน แต่มันเป็นผลลัพธ์ของหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้งในระดับปัจเจก และระดับโครงสร้างทางสังคมที่ทำให้คนจำนวนหนึ่งเริ่มรู้สึกว่าการอยู่เงียบๆ อาจปลอดภัยกว่าและสุขภาพจิตดีกว่า
[ ] ภาวะเหนื่อยล้าจากการเปรียบเทียบ
โซเชียลมีเดียทำให้เราต้องเห็นชีวิตคนอื่นตลอดเวลา โดยเฉพาะเรื่องความสำเร็จและการใช้ชีวิต จากงานวิจัยของ Vogel และคณะ (2014) ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Social and Clinical Psychology พบว่า การใช้โซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในลักษณะที่ผู้ใช้นำตัวเองไปเปรียบเทียบกับผู้อื่นในแง่บวก เช่น ไลฟ์สไตล์หรือความสำเร็จที่เห็นผ่านโพสต์ต่างๆ มีแนวโน้มจะทำให้ผู้ใช้รู้สึกด้อยคุณค่าในตัวเอง และลดความพึงพอใจในชีวิตลงอย่างมีนัยสำคัญ
งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่า แรงกดดันจากการเปรียบเทียบในโลกออนไลน์ อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้บางคนเลือกถอยออกจากพื้นที่โชว์ชีวิต และหันมาใช้ชีวิตแบบเงียบๆ ในแบบที่ไม่ต้องอยู่ภายใต้สายตาของคนอื่นตลอดเวลา คนจำนวนไม่น้อยจึงเริ่มตั้งคำถามว่า “เราต้องใช้ชีวิตเพื่อให้คนอื่นว้าวไปทำไม?” และเลือกถอยออกจากพื้นที่เปรียบเทียบ
[ ] ต้นทุนชีวิตที่ไม่เหมือนกัน
ไม่ใช่ทุกคนที่มีเวลาว่าง เงินเก็บ หรือความยืดหยุ่นในชีวิตมากพอที่จะเดินทางบ่อยๆ การเดินทางกลายเป็นกิจกรรมที่ “แพง” ทั้งในแง่ตัวเงินและพลังงานที่ต้องใช้ รายงานของ Bankrate ระบุว่า 63% ของคนอเมริกันในปี 2023 บอกว่าไม่สามารถเดินทางได้เพราะเหตุผลทางการเงิน กลุ่มคนที่มีข้อจำกัดเหล่านี้จึงเริ่มเลือกใช้ชีวิตในแบบที่ควบคุมได้มากกว่า เช่น อยู่กับบ้าน ใช้เวลาว่างแบบง่ายๆ และไม่รู้สึกผิดกับสิ่งนั้น
[ ] ความนิยมของไลฟ์สไตล์แบบ Low-stimulation / Minimal life
การใช้ชีวิตในเมืองใหญ่หรือการทำงานแบบ Multitasking ทำให้คนจำนวนมากประสบภาวะ Emotional Fatigue หรืออาการเหนื่อยสะสมจากการรับข้อมูลและกระตุ้นจากภายนอกมากเกินไป ซึ่งการใช้ชีวิตอย่างต่อเนื่องในสภาพแวดล้อมที่ต้องตอบสนองตลอดเวลา (High Stimulation) อาจลดความสามารถในการโฟกัส และเพิ่มความเสี่ยงเรื่องความเครียด ทำให้คนจำนวนหนึ่งเลือกถอยออกมาใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ไม่เร่ง ไม่ต้องอัปเดตชีวิตบ่อย และไม่ต้องไปไหนเพื่อพักจริงๆ
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าการไม่อยากไปไหนหรือไม่อินกับการโชว์ชีวิต ไม่ใช่พฤติกรรมแปลกแยก แต่เป็นการปรับตัวให้สอดคล้องกับบริบทชีวิตและสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนไป
คนที่เลือกใช้ชีวิตแบบ Fly Under the Radar จึงไม่ใช่คนที่หนีโลก แต่เป็นคนที่จัดการพลังงานของตัวเองอย่างมีเหตุผล พวกเขาไม่ได้ต้องการจะปิดกั้นโลกภายนอก แต่เลือกจะไม่เปิดรับทุกอย่างตลอดเวลา เพราะรู้ว่าไม่จำเป็นนั่นเอง
ไม่อยากไปไหน แต่ไม่อยากหายไปจากสังคม ควรจัดการชีวิตยังไง?
การใช้ชีวิตแบบ Fly Under the Radar ไม่ใช่การตัดขาดจากสังคม แต่คือการยอมรับว่าเรามีขีดจำกัดของพลังงาน เวลา และทรัพยากร สิ่งที่สำคัญคือ การรู้ว่าเราสามารถจัดการสิ่งเหล่านี้ได้โดยไม่จำเป็นต้องเดินตามสูตรสำเร็จ
นี่คือตัวอย่างแนวปฏิบัติง่ายๆ ที่ช่วยให้คนที่ไม่อินกับการออกไปไหน สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ โดยไม่ต้องรู้สึกผิดหรือถูกมองว่าแปลก
[ ] ตั้งกรอบชีวิตในแบบที่เราควบคุมได้
ถ้าไม่อยากเดินทางไกล ไม่ต้องฝืนจัดทริป แต่ลองวางแผนวันหยุดให้อยู่กับตัวเองมากขึ้น เช่น ทำอาหารที่ชอบ อ่านหนังสือ หรือเรียนรู้อะไรใหม่ที่ไม่ต้องเดินทาง
[ ] ดูแลสุขภาพจิตและพลังงานของตัวเองให้ดี
พักเมื่อเหนื่อย ปิดหน้าจอเมื่อรู้สึกว่ารับข้อมูลมากเกินไป ไม่ต้องรู้ทุกข่าว ไม่ต้องดูทุกรีวิว
[ ] สื่อสารกับคนรอบตัวให้เข้าใจ
หากรู้สึกกดดันจากคนที่ชอบถามว่า “จะไปไหนต่อดี?” ลองอธิบายอย่างตรงไปตรงมาว่าเราสบายใจกับการอยู่กับที่ และไม่จำเป็นต้องมีทริปเพื่อรู้สึกว่าชีวิตก้าวหน้า
[ ] เลือกเสพคอนเทนต์ที่ไม่สร้างแรงกดดันทางสังคม
อัลกอริทึมมีผลกับความรู้สึกเรา เลือกติดตามคอนเทนต์ที่ช่วยให้เราอยู่กับตัวเองได้ดีขึ้น ไม่ใช่คอนเทนต์ที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองต้องทำมากกว่านี้เสมอ
สุดท้ายแล้ว การเลือกใช้ชีวิตแบบไม่ต้องออกไปไหน ไม่ได้แปลว่าเราขาดแรงบันดาลใจ หรือไม่อยากโต แต่เป็นการตัดสินใจบนพื้นฐานของความเข้าใจตัวเองว่าอะไรคือสิ่งที่จำเป็น อะไรคือสิ่งที่ทำให้เราสบายใจ และอะไรที่ไม่จำเป็นต้องมีเพื่อให้ชีวิตรู้สึกพอดี
คนที่เลือกอยู่เงียบๆ ไม่ได้พยายามตัดขาดจากโลก แต่เขาแค่ไม่รู้สึกว่าต้องรีบอัปเดตทุกอย่างให้โลกเห็น การไม่อินกับการเดินทางจึงไม่ใช่ปัญหาที่ต้องแก้ แต่เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการใช้ชีวิตที่ควรถูกยอมรับเหมือนกัน เพราะในโลกที่ทุกคนกำลังเร่งรีบออกเดินทาง การเลือกอยู่กับที่อาจไม่ใช่การหยุดนิ่ง แต่มันคือการใช้ชีวิตในจังหวะที่เหมาะกับเรา และนั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของความพอดีที่หลายคนตามหาอยู่ก็ได้
อ้างอิง
– 80% of Summer Vacationers Are Making Changes Due to Inflation: Bankrate – https://bit.ly/4jccilg
– When every day is a high school reunion: Social media comparisons and self-esteem: Melissa G. Hunt, Journal of Adolescence / PubMed – https://bit.ly/4im6HHP
– How to Fly Under the Radar & Live A Successful and Frugal Life: James Nderitu, Medium – https://bit.ly/4iudbUZ
– I have no desire to travel, and that should be okay: Madison vanderberg, HelloGiggles – https://bit.ly/4iqV0j9
#FlyUnderTheRadar
#trend
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast