ในยุคดิจิทัลที่ iPad และแท็บเล็ตกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน การใช้อุปกรณ์เหล่านี้ในเด็กเล็กกำลังกลายเป็นประเด็นร้อนที่ผู้ปกครองและนักการศึกษาต่างให้ความสนใจ ซึ่งล่าสุด งานวิจัยชิ้นใหม่จากวารสาร JAMA Pediatrics ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการใช้ iPad ในเด็กวัย 3-5 ขวบ กับการแสดงออกทางอารมณ์ที่รุนแรงและควบคุมได้ยาก
งานวิจัยดังกล่าวได้ติดตามกลุ่มตัวอย่างเด็ก 315 คนในโนวาสโกเชีย แคนาดา ตั้งแต่อายุ 3.5 ปี จนถึง 5.5 ปี โดยให้ผู้ปกครองรายงานการใช้ iPad และแท็บเล็ตของเด็ก พร้อมประเมินการแสดงออกทางอารมณ์โกรธผ่านแบบสอบถามมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า
[ ] เด็กที่ใช้ iPad ตั้งแต่อายุ 3.5 ปี มีแนวโน้มแสดงออกทางอารมณ์โกรธและหงุดหงิดมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่ออายุ 4.5 ปี
[ ] เด็กที่มีอารมณ์โกรธและหงุดหงิดมากตอนอายุ 4.5 ปี ก็มีแนวโน้มใช้ iPad มากขึ้นเมื่ออายุ 5.5 ปี
[ ] การใช้ iPad เพื่อ “กล่อม” อารมณ์เด็กอาจส่งผลให้เกิด “วงจรอุบาทว์” ทางอารมณ์ ที่ทำให้เด็กพึ่งพาอุปกรณ์มากขึ้นเรื่อยๆ
ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า การใช้ iPad ในเด็กเล็กอาจไม่ใช่เพียงแค่ “ยาระงับ” ชั่วคราว แต่อาจกลายเป็น “ยาพิษ” ที่บ่มเพาะปัญหาทางอารมณ์ในระยะยาว
เหตุใด iPad จึงทำให้เด็กกลายเป็น “ระเบิดอารมณ์”?
นักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กได้เสนอทฤษฎีหลายประการที่อธิบายว่าทำไมการใช้ iPad จึงส่งผลต่ออารมณ์ของเด็กอย่างรุนแรง ทฤษฎีแรกคือ “การขาดโอกาสฝึกควบคุมอารมณ์” เมื่อผู้ปกครองใช้ iPad เป็นตัวช่วยในการกล่อมอารมณ์เด็ก เด็กจะพลาดโอกาสสำคัญในการเรียนรู้วิธีจัดการกับอารมณ์ด้านลบด้วยตัวเอง
และทฤษฎีต่อมาคือ “การเสพติดความพึงพอใจแบบด่วนได้” เพราะแอปและเกมบน iPad มักออกแบบมาให้ตอบสนองความพึงพอใจอย่างรวดเร็ว ทำให้เด็กคาดหวังว่าทุกอย่างในชีวิตจริงควรเป็นเช่นนั้น เมื่อไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง จึงเกิดอารมณ์หงุดหงิดได้ง่าย
นอกจากนี้ การใช้ iPad มากเกินไปทำให้เด็กมีเวลาน้อยลงในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อการพัฒนาทักษะการควบคุมอารมณ์และการเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น อีกทั้งแสงสีฟ้าจากหน้าจอ iPad อาจรบกวนการหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนิน ส่งผลให้เด็กนอนหลับยากขึ้นและมีคุณภาพการนอนที่แย่ลง ซึ่งนำไปสู่อารมณ์หงุดหงิดและควบคุมยากในวันถัดไป
และที่สำคัญคือการกระตุ้นระบบประสาทมากเกินไป เป็นที่รู้กันว่าเนื้อหาบน iPad ที่มีการเคลื่อนไหวเร็วและเสียงดังอาจกระตุ้นระบบประสาทของเด็กมากเกินไป ทำให้ยากต่อการควบคุมอารมณ์ในสถานการณ์ปกติ
ผลกระทบระยะยาวของ iPad ที่มากกว่าแค่อารมณ์ฉุนเฉียว
การปล่อยให้เด็กใช้ iPad มากเกินไปไม่เพียงแต่ส่งผลต่ออารมณ์ในปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังอาจส่งผลกระทบระยะยาวต่อพัฒนาการด้านต่างๆ ได้อีกด้วย
[ ] เด็กที่ใช้เวลากับ iPad มากเกินไปอาจมีปัญหาในการสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อน เนื่องจากขาดทักษะการสื่อสารและการเข้าใจอารมณ์ของผู้อื่น
[ ] การคุ้นเคยกับการรับข้อมูลอย่างรวดเร็วจาก iPad อาจทำให้เด็กมีปัญหาในการมีสมาธิจดจ่อกับกิจกรรมที่ต้องใช้เวลานานหรือต้องอดทน ซึ่งอาจส่งผลต่อการเรียนรู้ในอนาคต
[ ] แม้ว่าแอปบางอย่างจะออกแบบมาเพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ แต่การใช้ iPad มากเกินไปอาจจำกัดโอกาสในการเล่นแบบจินตนาการและการสำรวจโลกจริง ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของความคิดสร้างสรรค์
[ ] การใช้ iPad เป็นเวลานานอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพ เช่น สายตาเสีย ปวดคอและหลัง และภาวะอ้วนเนื่องจากการขาดกิจกรรมทางกาย
พ่อแม่ควรทำอย่างไร ไม่ให้ iPad กลายเป็น “พี่เลี้ยงดิจิทัล”
คำตอบของคำถามนี้ มาจากดร. ลีนา เวน แพทย์ฉุกเฉินและผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพของ CNN ที่ได้ให้คำแนะนำสำหรับผู้ปกครองในการจัดการการใช้ iPad ของเด็ก เพื่อป้องกันปัญหาทางอารมณ์เอาไว้ 6 ข้อด้วยกัน
อย่างแรกคือ พ่อแม่ต้องกำหนดเวลาการใช้อย่างเข้มงวด โดยการจำกัดเวลาการใช้ iPad ให้เหมาะสมกับวัย โดยอ้างอิงคำแนะนำจากองค์กรสุขภาพ เช่น ไม่เกิน 1 ชั่วโมงต่อวันสำหรับเด็กอายุ 2-5 ปี
ข้อที่ 2 ต้องเลือกแอปอย่างรอบคอบ พ่อแม่มีหน้าที่คัดสรรแอปที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก โดยเน้นแอปที่ส่งเสริมการเรียนรู้และความคิดสร้างสรรค์ แทนที่จะเป็นแอปที่เน้นความบันเทิงเพียงอย่างเดียว
ข้อที่ 3 คือต้องส่งเสริมกิจกรรมทางเลือก โดยจัดหากิจกรรมที่ไม่ใช้หน้าจอให้เด็กทำ เช่น การเล่นกลางแจ้ง การอ่านหนังสือ และการทำงานศิลปะ เพื่อพัฒนาทักษะทางสังคมและอารมณ์
ข้อที่ 4 พ่อแม่ควรหาทางใช้เทคโนโลยีร่วมกัน หากจะให้เด็กใช้ iPad ก็ควรใช้ร่วมกันระหว่างผู้ปกครองและเด็ก เพื่อสร้างประสบการณ์การเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์และควบคุมเนื้อหาที่เด็กเข้าถึง
ข้อที่ 5 พ่อแม่ต้องมีการฝึกทักษะการจัดการอารมณ์ สอนเด็กจักให้รู้วิธีจัดการกับอารมณ์ด้านลบโดยไม่พึ่งพา iPad เช่น การหายใจลึกๆ การนับเลข หรือการพูดคุยเกี่ยวกับความรู้สึก
แล้วสุดท้าย ผู้ปกครองต้องเป็นแบบอย่างที่ดี ทั้งจากการจำกัดการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของตนเอง เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเด็ก
ต้องบอกว่าผลการศึกษาล่าสุดนี้ไม่ได้หมายความว่าผู้ปกครองต้องห้ามการใช้ iPad โดยสิ้นเชิง แต่เน้นย้ำถึงความสำคัญของการใช้อย่างสมดุลและมีวิจารณญาณ การใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมสามารถเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะของเด็ก แต่ต้องไม่ใช้เป็น “พี่เลี้ยงดิจิทัล” ที่แทนที่การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นและการเรียนรู้จากโลกจริง
ที่สำคัญคือผู้ปกครองควรตระหนักว่า การฝึกให้เด็กรู้จักควบคุมอารมณ์และจัดการกับความรู้สึกด้านลบเป็นทักษะสำคัญที่จะติดตัวไปตลอดชีวิต การใช้ iPad เป็นเพียง “ทางลัด” ในการระงับอารมณ์ชั่วคราว แต่อาจส่งผลเสียในระยะยาวหากใช้มากเกินไป เราจึงควรศึกษาและเรียนรู้ที่จะแก้ไขเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้การใช้ iPad ของเด็ก เป็นการผลิตมนุษย์ที่มีความ “ฉุนเฉียว” ออกสู่สังคมโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ
อ้างอิง
New study links early childhood tablet use to anger outbursts: Katia Hetter, CNN – https://cnn.it/3STIkHN
#trend
#iPadKids
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast