สรุปไฮไลต์ จบในที่เดียว! งานเปิดตัว Apple ส่อง iPhone 13 และอื่นๆ ใน #AppleEvent

326
AppleEvent

จบลงไปแล้วสำหรับงาน Apple Keynote September 2021 ที่จัดขึ้นเมื่อของวันที่ 15 กันยายน 2021 ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของ Apple ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2021 ที่เหล่าสาวกรอคอย โดยในงาน Apple Event ในครั้งนี้ Apple ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่จำนวนมาก ตั้งแต่ iPad Gen 9, iPad Mini โฉมใหม่, Apple Watch Series 7 และที่พลาดไม่ได้เลยคือ ไลน์อัปของโทรศัพท์สมาร์ตโฟนเรือธงอย่าง iPhone ที่เรียกได้ว่ามาตามนัด โดย Apple เปิดตัวพร้อมกันทุกรุ่น ทุกสี ทุกขนาด ไล่ตั้งแต่ iPhone 13 Mini, iPhone 13, iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ที่ในวันนี้ทางเพจ Mission To The Moon ได้สรุปเอาสเปคและฟังก์ชั่นของผลิตภัณฑ์รุ่นต่าง ๆ มาไว้ที่โพสนี้จบในที่เดียว

iPad Generation 9

เริ่มต้นกันที่ iPad รุ่นใหม่ ซึ่งถือเป็น iPad เจเนอเรชันที่ 9 ที่เป็นผลิตภัณฑ์แรกที่ Apple ทำการเปิดตัว โดยรูปลักษณ์ภายนอกของ iPad เจเนอเรชันที่ 9 ยังคงดีไซน์แบบดั้งเดิมเอาไว้ซึ่งก็คือ หน้าจอแบบมีขอบและปุ่มโฮมในการสั่งการ

อย่างไรก็ตาม Apple ได้ทำการอัปเกรดฟีเจอร์ที่จะมาพร้อมกับ iPad เจเนอเรชันที่ 9 นี้โดย ใส่กล้องหน้าความละเอียดสูงถึง 12 ล้านพิกเซล ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ Center Stage ที่กล้องจะโฟกัสไปที่ผู้ใช้งานโดยอัตโนมัติ รองรับการใช้งานในแอปพลิเคชันต่างๆ มากมาย อาทิ Zoom ซึ่งถือว่าเหมาะกับการทำกิจกรรมออนไลน์ในยุคนี้เป็นอย่างมาก

Advertisements

iPad เจเนอเรชันที่ 9 จะมาพร้อมกับชิปประมวลผล Apple A13 Bionic, หน้าจอ Retina Display ขนาด 10.2 นิ้ว และรองรับ Apple Pencil รุ่นที่ 1 โดยจะมีความจุเริ่มต้นอยู่ที่ 64 GB สนนราคาเริ่มต้นที่ 11,400 บาท

iPad Mini

สิ้นสุดการรอคอยสำหรับแฟนๆ ของ iPad Mini หลังจากที่ Apple ได้ทำการเปิดตัว iPad Mini เจเนอเรชันที่ 6 ที่ทาง Apple ได้ทำการปรับเปลี่ยนโฉมและดีไซน์แบบยกเครื่อง ให้มีความทันสมัยไม่น้อยหน้า iPad รุ่นพี่อย่าง iPad Pro และ iPad Air เรียกได้ว่าสมกับการรอคอย

iPad Mini เจเนอเรชันที่ 6 จะมาพร้อมกับหน้าจอ Liquid Retina Display ขนาด 8.3 นิ้ว ที่ใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นเดิม เนื่องจากไม่มีปุ่มโฮม โดยใส่ปุ่ม Touch ID มาให้บริเวณด้านบนของตัวเครื่อง อย่างไรก็ตาม iPad Mini เจเนอเรชันที่ 6 กลับไม่มีฟีเจอร์เรือธงอย่าง Face ID แต่อย่างใด

ด้านฟีเจอร์ของ iPad Mini เจเนอเรชันที่ 6 ถือได้ว่าไม่น้อยหน้า iPad รุ่นอื่นๆ โดย iPad Mini เจเนอเรชันที่ 6 ที่จะมาพร้อมกับชิปประมวลผล Apple A15 Bionic และกล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซลจะรองรับฟีเจอร์ Center Stage เฉกเช่นเดียวกันกับ iPad เจเนอเรชันที่ 9 ขณะเดียวกันได้มีการเปลี่ยนมาใช้สายชาร์จแบบ USB-C (แบบเดียวกันกับ iPad Pro และ iPad Air) พร้อมรองรับ 5G ในรุ่น Cellular

iPad Mini เจเนอเรชันที่ 6 จะมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 17,900 บาท

Apple Watch Series 7

สำหรับสาวกแอปเปิลสายสุขภาพ Apple ได้ทำการเปิดตัว Apple Watch Series 7 รุ่นใหม่ล่าสุด ที่มีการปรับโฉมเล็กน้อย เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานมากยิ่งขึ้น โดยมีการปรับปรุงตัวเรือนและหน้าปัดให้มีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น พร้อมกับขอบหน้าจอที่บางลงถึง 40% แต่ยังคงดีไซน์โค้งมนเอาไว้เหมือนเดิม

ด้วยขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นคือ ขนาด 41 มม. และ 45 มม. ทำให้ Apple ได้ทำการออกแบบ อินเตอร์เฟสใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์การใช้งานแก่ผู้ใช้งาน ขณะเดียวกันก็จะยังมาพร้อมกับฟีเจอร์การใช้งานสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการปั่นจักรยาน โดยจะมีฟีเจอร์ที่แจ้งเตือนเวลาล้ม และ อื่นๆ อีกมากมาย

Apple Watch Series 7 จะถูกจัดจำหน่ายเคียงคู่กับ Apple Watch Series 3, Apple Watch SE (ยกเลิกการจัดจำหน่าย Apple Watch Series 4, Series 5 และ Series 6) โดยจะมีตัวเรือนให้เลือกมากถึง 3 แบบ คือ ตัวเรือนอลูมิเนียม, สเตนเลส และไทเทเนียม l

Apple Watch Series 7 จะมาพร้อมกับ watchOS 8 และราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 399 เหรียญสหรัฐฯ หรือ ราว 13,150 บาท

Advertisements

iPhone 13 และ iPhone 13 Mini

และแล้วก็มาถึงไอเทมที่หลายๆ คนตั้งหน้าตั้งตารอคอย นั่นก็คือ ไลน์อัปของ iPhone 13 นั่นเอง โดยเริ่มจากน้องเล็ก อย่าง iPhone 13 Mini และ iPhone 13 ที่ถือได้ว่าเปิดตัวออกมาอย่างเป็นทางการสักที หลังจากมีการคาดการ์ของสื่อหลายสำนักตลอดระยะเวลา 1 – 2 เดือนที่ผ่านมา

โดย iPhone 13 และ iPhone 13 Mini ที่มีขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว และ 5.4 นิ้ว ตามลำดับ จะยังคงมีดีไซน์ที่คล้ายคลึงกับ iPhone 12 และ iPhone 12 Mini จะแตกต่างกันเพียงแค่รอยบากบนหน้าจอบริเวณกล้องหน้าและ FaceID ที่มีการปรับให้มีขนาดที่เล็กลง และมีการจัดเรียงกล้องหลังให้อยู่ในแนวทแยงแทน

iPhone 13 และ iPhone 13 Mini จะมาพร้อมกับชิปประมวลผล Apple A15 Bionic ที่มีขุมพลัง CPU 6 คอร์ และ GPU 4 คอร์ เพื่อให้ประสบการณ์ใช้งานลื่นไหลแบบไม่มีสะดุด อย่างไรก็ตาม ไฮไลท์ของการเปิดตัว iPhone 13 และ iPhone 13 Mini คงจะหนีไม่พ้น เรื่องของประสิทธิภาพของการถ่ายภาพที่สามารถถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดี อีกทั้งยังมาพร้อมกับระบบกันสั่นแบบ iPhone 12 Pro Max ที่ในปีนี้ใส่มาให้กับ iPhone รุ่นเริ่มต้นกันเลยทีเดียว

ขณะเดียวกัน ในด้านของการถ่ายวิดีโอ Apple ยังได้เปิดตัวโหมดการถ่ายวิดีโอใหม่ที่มีชื่อว่า Cinematic Mode ที่ระบบจะปรับเปลี่ยนจุดโฟกัสได้โดยอัตโนมัติ เรียกได้ว่ายกเอาขีดความสามารถในการถ่ายวิดีโอระดับภาพยนตร์มาไว้ในบนมือถือสมาร์ตโฟนกันเลยทีเดียว

iPhone 13 และ iPhone 13 Mini จะมีความจุให้เลือก 3 ขนาด 128GB, 256GB และ 512GB โดยจะ มีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 29,900 บาท สำหรับ iPhone 13 และ 25,900 บาท สำหรับ iPhone 13 Mini

iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max

สำหรับพี่ใหญ่อย่าง iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max จะมาพร้อมกับหน้าจอ Super Retina XDR รีเฟรชเรตสูงสุด 120 Hz ขนาด 6.1 นิ้ว และ 6.4 นิ้ว ตามลำดับ และระบบกล้องที่เปลี่ยนไปใช้เลนส์รุ่นใหม่แบบยกแผง นำโดยกล้องเลนส์ Tele ที่สามารถปรับซูมได้ 3 เท่า และกล้องเลนส์ Wide กับ Ultra Wide ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการภ่ายภาพแบบ Macrophotography และ Night Mode

ขณะเดียวกัน Apple ยังได้เพิ่มฟีเจอร์การถ่ายวิดีโอสุดพิเศษสำหรับ iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ที่เรียกว่าโหมด Macro Slow-Motion อีกทั้งยังเพิ่ม การถ่ายวิดีโอแบบ Pro-Res ที่ความละเอียด 4K 30 เฟรมเรต

iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max จะมีความจุให้เลือก 4 ขนาด 128GB, 256GB, 512GB และ 1TB ถือเป็นครั้งแรกที่มีการวางจำหน่าย iPhone ที่มีขนาดความจุมากถึง 1 TB โดย ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 38,900 บาท สำหรับ iPhone 13 Pro และ 42,900 บาท สำหรับ iPhone 13 Pro Max โดยจะสามารถสั่งจองล่วงหน้าได้ ผ่านเว็บไซต์ https://www.apple.com/th/ ได้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2021 นี้

และนี่ก็คือบทสรุปของงาน Apple Keynote September 2021 ที่จบลงไปเมื่อคืนวานนี้ ถือว่าสมกับการรอคอยของสาวก Apple ก่อนทิ้งท้าย ปี 2021 เลยก็ว่าได้

แปลและเรียบเรียงจาก:
https://bit.ly/3loS9vN
https://bit.ly/3tOqisz
https://apple.co/2YRG4Y9a



#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
#trend
#iPhone13
#AppleEvent

Advertisements