คุยเรื่องตลาดคอนโดในบ้านเรากับ CEO ของ Park Luxury

5980
rooftop bar at The EmQuartier

(ต้องบอกก่อนว่านี้เป็น Sponsor Content นะครับ แต่อัดแน่นไปด้วยสาระมากๆ สำหรับใครที่สนใจเรื่องของคอนโด แนะนำให้ลองอ่านหรือ ลองฟังดูครับ)

ช่วงนี้ถ้าใครได้ติดตามเรื่องราวของตลาดคอนโดในบ้านเรา ต้องบอกว่ามีหลายเรื่องที่น่าติดตามมาก ตั้งแต่เรื่องสภาพตลาด, มาตรการ LTV จากธนาคารแห่งประเทศไทย, ทิศทางแนวโน้มต่างๆ รวมถึงในแฟนเพจเองก็มีหลายท่านที่อินบ็อกซ์ เข้ามาสอบถามพูดคุยกันถึงเรื่องนี้ และใน Mission to the Moon EP: 484 ผมเองก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณ เอ สิริพงศ์ ศรีสว่างวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พาร์ค ลักชัวรี่ จำกัด เกี่ยวกับเรื่องตลาดคอนโดในบ้านเรา เลยขอเขียนออกมาเป็นบทความให้ทุกท่านได้อ่านกันครับ

สภาวะของตลาดคอนโดในบ้านเราตอนนี้เป็นอย่างไร

คุณเอ บอกว่าจริงๆ แล้วตลาดคอนโดนะ เพิ่งจะเริ่มเป็นที่นิยมในกรุงเทพฯ หรือในบ้านเรา เมื่อประมาณสัก 7-8 ปีที่แล้วเท่านั้นเอง ก่อนหน้านั้นคอนโดจะไม่ค่อยเป็นที่นิยมสักเท่าไหร่ ทาวน์โฮมหรือทาวน์เฮ้าส์จะครองตลาดกลุ่มนี้เป็นส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯ

Advertisements

แต่เมื่อเวลาผ่านไปที่ดินในกรุงเทพฯ เริ่มที่จะมีราคาแพงขึ้น บวกการจราจรที่หนาแน่นในกรุงเทพฯ คนจึงเริ่มหันมาอยู่คอนโดแทน หลังจากนั้นคอนโดก็เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็มีการเติบโตด้วยดีมาโดยตลอด เติบโตมากจนกระทั่งมีช่วงหนึ่งที่คนต้องต่อคิวกันเพื่อจองคอนโด แต่หลังจากเกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ตลาดคอนโดก็เริ่มมีการหดตัวลง เราสามารถเห็นได้จากสภาพตลาดในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา บ้านเดี่ยวกับทาวน์เฮาส์นั้นเริ่มกลับมาเยอะขึ้น แต่ถ้าเราไปไล่ดูตัวเลขเปรียบเทียบกับอดีตจริงๆ แล้ว ตลาดคอนโดเติบโตมาโดยตลอด เพียงแต่อัตราการเติบโตมันลดลงเท่านั้นเอง

ดังนั้นถ้าดูจากตัวเลขที่มี ต้องบอกว่าปีนี้ตลาดหดตัวแน่นอน เพราะอย่างที่ทุกคนทราบดีว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกมาตรการกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย (LTV) ที่กำหนดไว้ว่า ถ้าจะกู้หลังที่สองหรือหลังที่สามก็จะต้องใช้เงินดาวน์เยอะหน่อย สำหรับคนที่กู้ในยุคที่แล้วเนี่ยก็ถือว่าโชคดีกันไป เพราะหลังสองหลังสามก็แบงค์ก็ปล่อยให้เต็ม เท่ากับว่าตอนนี้คนที่เก็งกำไรในตลาดก็จะเริ่มหายไป ทำให้ตลาดเกิดการหดตัว อย่างปีนี้เราก็เริ่มเห็นเทรนด์ที่ชัดเจนแล้ว เพราะมีการคาดการณ์กันว่าตลาดจะมีสินค้าเข้าใหม่ลดลงถึง 30% เมื่อเทียบกับตัวเลขของปีที่แล้ว

แต่ยังไงก็ตามตลาดคอนโดไม่ได้หายไปไหน ถึงแม้ช่วงนี้มีการหดตัวของตลาดอยู่บ้าง เพราะเราได้เห็นแล้วว่าเดี๋ยวนี้พฤติกรรมของผู้บริโภคนั้นเปลี่ยนไป การอยู่อาศัยในแนวตั้งเป็นเรื่องปกติธรรมดา ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่เหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป ทำให้ตลาดของกลุ่มคนที่ซื้อบ้านหลังแรกนั้นตกไปอยู่กับคอนโดเกือบทั้งหมด

เพราะทุกคนต้องการความสะดวกสบาย แล้วคอนโดก็สามารถตอบโจทย์เรื่องนี้ได้ แถมยังช่วยลดภาระในการดูแลอีกด้วย โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ๆ ที่เริ่มมองว่าการซื้อบ้านหรือทาวน์เฮ้าส์เป็นการเพิ่มภาระในการที่จะต้องดูแล ตั้งแต่พื้นที่โดยรอบ สวนย่อม ต่างๆ แตกต่างจากคอนโดที่มีกุญแจแค่ดอกเดียว หรือ บางที่ก็เป็นระบบสแกนลายนิ้วมือที่เป็นแบบ Digital Door Lock แค่ปิดห้องก็จบ เรื่องส่วนกลาง เรื่องตัวตึก ตัวอาคาร ก็มีคนคอยดูแลให้เสร็จสรรพนั้นก็คือนิติบุคคลอาคารชุด

ตลาดคอนโดในบ้านเรามีทั้งหมดกี่เซกเมนต์

คุณเอ เล่าให้เราฟังต่อว่า จริงๆ แล้วตลาดคอนโดในเมืองไทยช่วงแรกๆ จะมีแค่ประมาณ 3 เซกเมนต์ เท่านั้น แต่ปัจจุบันเริ่มแตกย่อยออกไปเป็น 5-6 เซกเมนต์ แต่กลุ่มที่ครองตลาดอยู่ตอนนี้ก็คือ กลุ่มราคา 1 ล้านกว่าบาท เพราะตอนนี้ทาวน์เฮ้าส์ไม่สามารถทำราคานี้ได้อีกแล้ว ทำให้ตลาดบ้านหลังแรกต้องถูกคอนโดราคาไม่ 2 สองล้านบาทกินส่วนแบ่งเป็นธรรมดา และคอนโดกลุ่มนี้ก็ยังถือได้ว่าเป็นแมส (Mass Market) ของตลาด เพราะว่ามีฐานที่ใหญ่มาก ถ้านับเป็นจำนวนห้องก็ประมาณ 70-80% ของทั้งหมดในตลาด

ถัดจากแมสก็เข้าสู่ตลาดระดับกลาง กลุ่มนี้เราจะเรียกกันว่า Hi-End คือมีราคาตั้งแต่ 2-5 ล้านบาท ห้องอาจจะไม่ใหญ่ แต่ต้องอยู่ในทำเลที่ดี คอนโดกลุ่มนี้เป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูงมาก เพราะผู้ประกอบการส่วนใหญ่ไม่ค่อยที่จะอยากเข้าไปเล่นในตลาดล่างกันสักเท่าไหร่ อาจจะติดด้วยเรื่องของราคาหรือต้นทุนก็ตาม ทำให้ผู้พัฒนารายใหญ่ๆ ในบ้านเราโดดมาเล่นในตลาดนี้กันเป็นส่วนใหญ่ 

แต่ในบางทำเลเราก็อาจจะไม่ได้เห็นราคา 2-5 ล้านบาท อีกแล้ว เพราะอย่างย่านทองหล่อ-สุขุมวิท ส่วนมากก็จะเริ่มที่ 7 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มของ luxury ล่ะ และถ้าขยับขึ้นไปอีกก็จะเป็น Super luxury

condo car parking top view
Low Rise Condo Car Parking

เราควรเลือกคอนโด Low Rise หรือ High Rise ทั้งสองมีความแตกต่างกันอย่างไร

มาถึงพาร์ทนี้คุณเอบอกเราไว้ก่อนว่ามันอาจจะไม่ใช่คำตอบโดยตรงของคำถามนี้ แต่แนวทางมันจะเป็นอย่างนี้เสมอ ส่วนใหญ่คอนโด 8 ชั้น (Low Rise) มักจะขึ้นในตรอกซอกซอย เพราะการสร้างคอนโดในซอยจะมีกฏหมายควบคุมอยู่ทำให้สามารถขึ้นได้ 8 ชั้นเท่านั้น ส่วนมากคอนโดกลุ่มนี้จะมีราคาถูกว่าคอนโดที่อยู่ริมถนน กลุ่มคนที่ซื้อคอนโด 8 ชั้น ส่วนใหญ่จะต้องการความเงียบ ไม่วุ่นวาย จำนวนยูนิตต่อโครงการน้อยๆ ไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ในเส้นทางการจราจรหลัก

แต่อย่างไรก็ตามตลาดคอนโด 8 ชั้น ก็ยังคงเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่มาก และเป็นที่นิยมด้วย เพราะที่ดินริมถนนเริ่มไม่ค่อยมีแล้ว แต่มีสิ่งหนึ่งที่อาจจะต้องเบียดเสียดกันสักหน่อยสำหรับกลุ่มคอนโด 8 ชั้น ที่ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีมากๆ เป็นที่นิยมมากๆ อาจจะมีปัญหาเรื่องของที่จอดรถอยู่บ้าง 

แต่จากที่เราทำคอนโดมานาน เราเริ่มสังเกตเห็นแล้วว่าคนยุคใหม่เริ่มใช้รถยนต์ส่วนตัวกันน้อยลง ถึงแม้จะอยู่ในซอยก็ยังสามารถหาวิธีในการเดินทางได้ บางที่ก็อาจจะมีรถรับส่ง เป็นลักษณธของ Shuttle Bus อาจจะเป็นรถตู้บ้าง รถตุ๊กตุ๊กบ้าง คอยบริการไปส่งที่สถานีรถไฟฟ้า ซึ่งก็สามารถช่วยบรรเทาไลฟ์สไตล์ของลูกค้าไปได้ค่อนข้างเยอะ

กลับกันถ้าหากเป็นคอนโดสูง ส่วนใหญ่จะมีที่จอดรถเหลือเฟือเลย เพราะว่าจริงๆ แล้ว อสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะคอนโดนั้น เป็นธุรกิจที่อยู่ภายใต้กฏหมายทุกรูปแบบ ตั้งแต่ตัวสัญญา วิธีการก่อสร้าง รวมไปถึงปริมาณของที่จอดรถก็จะต้องมีตามที่กฏหมายกำหนด ทำให้ตึกใหญ่ๆ มีที่จอดรถเหลือ รวมไปถึงพฤติกรรมของคนไทยที่เริ่มเดินกันไกลขึ้น 500-700 เมตรก็ยังสามารถเดินไปขึ้นรถไฟฟ้ากันได้ ทำให้ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัวในการเดินทาง

การพัฒนาคอนโดยังจำเป็นต้องเกาะแนวรถไฟฟ้าอยู่ไหม

คุณเอ เล่าย้อนกลับไปว่า ถ้าเราดูจากช่วงที่ผ่านก็คงจะเห็นได้ว่าคอนโดนั้นเน้นเกาะตามแนวรถไฟฟ้าเป็นหลักเลย แต่ว่านั่นคือกลุ่มแมส เพราะการเกาะตามแนวรถไฟฟ้านั้น ไม่สามารถตอบสนองได้ในทุกเซกเมนต์ อย่างพวกไฮเอนด์กลุ่มนี้ส่วนใหญ่เขาไม่ได้ให้ความสนใจรถไฟฟ้ากันสักเท่าไหร่นัก เพราะส่วนมากกลุ่มนี้ก็จะใช้รถยนต์ส่วนตัวกันซะมากกว่า จะไปเน้นเรื่องของทำเลที่อยู่ใกล้กับไลฟ์สไตล์ที่เขาต้องการมากกว่า ไม่ว่าจะออฟฟิศ เพื่อนฝูง หรือรูปแบบวิถีชีวิตที่เขาชื่อชอบ

คนจะย้ายเข้ามาอยู่ในเขตเมืองกันมากขึ้น

คุณเอ บอกเลยว่า เทรนด์นี้เป็น Mega trend หลักของโลกเราเลย ถ้าใครได้มีโอกาสติดตามดูเรื่องของผังเมือง หรือวิธีการใช้ชีวิต เราจะเห็นว่าประเทศที่เป็นผู้นำในเรื่องของการดูแลผู้คนส่วนใหญ่ เขาคิดกันไปถึงเรื่องของเมืองลอยฟ้ากันหมดแล้ว สมัยก่อนเรารู้สึกว่าตึก 70-80 ชั้นมันใหญ่มากๆ แล้วในบ้านเรา แต่ถ้าหากเราไปดูวิธีคิด Mega Project (โครงการขนาดใหญ่) ในอนาคตของญี่ปุ่น มันเหมือนมีจังหวัดหนึ่งอยู่ซ้อนกันบนคอนกรีตเลยก็ว่าได้ เป็นเหมือนกับคอนโดที่ใหญ่มากๆ ที่รวมเอาทุกอย่างไว้ แทนที่จะไปขยายแนวขวางแล้วไปกินพื้นที่สีเขียว ก็เน้นไปทำแนวตั้งดีกว่า นี่คือวิธีคิดของของหลายๆ เมืองใหญ่ในโลกนี้

ลูกค้ากลุ่ม Hi-End เลือกคอนโดจากอะไร

ในกลุ่ม Hi-End ราคาจะไม่ใช่ปัจจัยอันดับแรกๆ ที่ใช้ในการตัดสินใจ โดยส่วนมากจะมองเรื่องของชุมชนหรือย่านที่เขาต้องการมากกว่า ผู้พัฒนาอย่างเราเวลาที่จะไปซื้อที่ดินเพื่อลงทุนทำตลาดกลุ่ม Hi-End ข้อแรกที่เราต้องมองเลยก็คือ ย่านนั้นมันมีความเป็น identity (เอกลักษณ์) ที่เฉพาะไหม เช่น ถ้าพูดถึงเยาวราชเราก็จะนึกออกว่าย่านนั้นมีอะไร เมื่อเปรียบเทียบกับทางห้วยขวาง เราก็จะเห็นว่าสองย่านนี้มี identity ที่แตกต่างกัน

Advertisements

อย่างสุขุวิทกับสีลมก็จะมีความแตกต่างทางนัยยะ ถ้าเราสังเกตดีๆ identity จะเป็นตัวบอกเองว่าลูกค้าในย่านนั้นชอบอะไร หรือเขาต้องการอะไรจากย่านที่เขาชอบ เช่น สีลมก็จะเป็นคนเน้นทำงานเป็นหลัก สุขุมวิทก็อาจจะมีไลฟ์สไตล์บ้าง ทองหล่อก็จะเป็นไลฟ์สไตล์จ๋าหน่อย

โดยหลักแล้วย่านจะเป็นตัวบ่งบอกถึงกลุ่มลูกค้าของเรา รวมถึงในมุมของลูกค้า เขาก็จะพรีเซนท์ตัวเอง ว่ารูปแบบชีวิตเขาเป็นแบบอย่างไร โดยย่านที่เขาอยู่จะเป็นตัวบ่งบอกถึงความเป็นตัวตนของเขา

Bangkok skyline at the central business district
Central Business District

อย่าง CBD (ศูนย์กลางธุรกิจ) ในกรุงเทพฯ ตอนนี้มีที่ไหนบ้าง

ย่านธุรกิจหรือที่เรานิยมเรียกกันว่า CBD นั้น (Central Business District) คุณเอบอกว่า ดั้งเดิมเลยคือที่สีลม สาธร แล้วที่มีการพยากรณ์กันว่าจะเป็น CBD แห่งใหม่ก็คือย่าน รัชดา พระราม 9 แล้วปัจจุบันก็เริ่มลามมาถึงต้นรัชดาที่ตัดกับพระราม 4 เพราะมีตึกที่เป็นออฟฟิศสำนักงานสร้างกันเยอะมากในโซนที่ว่า ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตต์ก็กำลังรื้อเพื่อปรับปรุงใหม่ให้ดีขึ้นแล้วจะกลับมาเปิดในอีก 3 ปี ทำให้ย่านนี้กลายเป็นแหล่งธุรกิจที่คึกคัก

ถ้าเป็นย่านไลฟ์สไตล์ สุขุมวิทเองก็ไม่น้อยหน้า แต่ถ้าพูดกันถึงตัวหลักๆ เลยก็จะเป็น สยาม มาบุญครอง ที่เป็นย่านไลฟ์สไตล์หลักของบ้านเรา แต่การพัฒนาพื้นที่นั้นส่วนมากจะเป็นการรีโนเวทใหม่ไปเรื่อยๆ แล้วที่พักอาศัยก็ไม่สามารถแทรกตัวเข้าไปได้เลยเพราะแน่นมากจริงๆ รองลงมาจากย่านหลัก ก็จะเป็นโซนตระกูล mega project อย่าง Emporium, Em Quartier และ Emsphere หรือที่เรียกกันว่า EM District รวมถึงไป Icon Siam ด้วยเช่นกัน mega project เหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นแม่เหล็กในการดึงดูดคนเข้ามา ทำให้เกิดเป็นย่านไลฟ์สไตล์ขึ้นมาได้

สุดท้ายเป็นย่านที่มีความสำคัญในตัวเองอยู่แล้ว เช่น ทองหล่อ พร้อมพงษ์ ที่กำลังเติบโตขึ้นด้วยการลงทุนจากผู้ประกอบการรายย่อย เช่น มีร้านอะไรใหม่ๆ เข้ามาเปิดตลอดเวลา แต่ไม่ใช่แบบ mega project แต่ร้านเหล่านี้มีความสำคัญ เพราะร้านย่อยๆ จะช่วยสร้างบรรยากาศของความหลากหลาย ทำให้ผู้อยู่อาศัยในระแวกนั้นสามารถเลือกอะไรใหม่ๆ ได้ตลอดเวลา

โครงการเจ๋งๆ จาก Origin ที่กำลังพัฒและดำเนินการอยู่

โครงการที่กำลังดำเนินการอยู่ของ Origin คุณเอ บอกว่ามีอยู่ 3 โครงการ 3 ระดับ เป็นโครงการใหม่ที่กำลังจะเปิดตัว แต่ก็ได้มี exclusive sale ไปบ้างแล้ว และได้รับผลตอบรับที่ค่อนข้างดีมากทีเดียว เริ่มจาก Park จุฬา – สามย่าน ที่เพิ่งเปิด pre-sale ไป ส่วนตัวโครงการอีกประมาณ 3 ปี เสร็จ โครงการต่อมาคือ Park Origin ราชเทวี ทำเลของโครงการนี้อยู่ใน prime location มากๆ เพราะว่าย่านพระราม 4 มี mega project หลายเจ้ามากๆ ที่ทุ่มเม็ดเงินลงทุนไปโซนนั้น บวกกับตัวราชเทวีเองก็เป็นทำเลที่ได้รับความนิยมมากอยู่แล้ว ทำให้ที่ดินหายากมากๆ แถมยังใกล้โรงพยาบาล ใกล้จุฬาอีกด้วย ขยับมาอีกระดับหนึ่งจะเป็น Park ทองหล่อ กับ Park พญาไท เป็นโครงการที่อยู่ในช่วงของการก่อสร้าง อีกประมาณ 2 ปี ตัวตึกจะเสร็จ 

และมีอีกหนึ่งโครงการ ที่เพิ่งสร้างเสร็จเมื่อต้นปีที่ผ่านมา คือ Park Origin พร้อมพงษ์ บนถนนสุขุมวิท 24 เป็นเฟสที่ 2 ของโครงการ Park 24 ซึ่งจะมี 2 ตึกอยู่ข้างหน้า เฟส 2 ก็จะมีอีก 3 ตึกที่อยู่ต่อเนื่องมา

ความโดดเด่นของโครงการ Park 24

คุณเอเล่าถึงความโดดเด่นของโครงการ Park 24 ให้เราฟังต่อว่า เริ่มจากเรื่องขอทำเลก่อนเป็นอันดับแรก เพราะตัว Park 24 นั้นตั้งอยู่หลัง Emporium เลย และก็กำลังจะมี Mega project ใหม่อย่าง Emsphere ที่กำลังก่อสร้าง แล้วตัว Em Quartier ก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นทุกวัน สามารถที่จะเดินเชื่อมกันได้ทั้งหมด อันนี้เป็นในส่วนของปากซอย

ส่วนท้ายซอย ก็สามารถออกถนนพระราม 4 ได้ สามารถทะลุได้ 2-3 ทาง จะทะลุไปรัชดาก็ได้ ทะลุไปแถวหน้าสิริกิตต์ก็ได้ ซึ่งศูยน์สิริกิตต์เองก็กำลังมีการปรับปรุงใหม่ให้ดีขึ้น ใหญ่ขึ้น คือเป็น Mega project สำหรับย่านนั้นเลย ซึ่งใกล้กับสะพานที่กำลังสร้างอยู่ ก็คือสะพานข้ามแยก ณ ระนอง เป็นสะพานรูปตัว Y ก็คือนอกจากจะเชื่อมรัชดาไปสู่พระราม 3 แล้ว ยังตีซ้ายออกไปที่ตัว mega project ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ที่เพิ่งแถลงข่าวเมื่อกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา)

ทิศทางต่อไปของแบรนด์ Origin

เมื่อถามถึงทิศทางการต่อไปของ Origin คุณเอ เล่าให้เราฟังว่า ตอนนี้ Origin กำลังแบ่งการดูแลลูกค้าให้ออกเป็น Business unit และในแต่ละ Business Unit นั้น จะต้องเข้าใจลูกค้าเฉพาะกลุ่ม ดังนั้นการทำดำเนินการงานในแต่ละ Unit จะไม่เหมือนกันเลย เช่น Business unit ในกลุ่ม the origin ที่เป็นคอนโดที่เน้นเจาะตลาดกลุ่ม first jobbers (คนที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน) ก็ต้องไปดูว่าเราจะสามารถตอบสนองคนในกลุ่มนี้ได้อย่างไร อะไรที่เขามองหาหรือต้องการ

ส่วน business unit กลุ่ม Park นั้นจะเป็นทาง luxury ไปเลย กลุ่มลูกค้าก็จะขยับขึ้นมาอีกระดับ มุมมองเราก็ต้องเปลี่ยนไป แต่กลุ่มนี้ไม่ได้หมายความว่าเขามีอายุนะครับ เพราะว่าลูกค้า Origin ส่วนใหญ่ก็ยังหนุ่ม ยังสาว อย่างโครงการ Park 24 กลุ่มลูกค้าของเราก็จะเป็นหนุ่มสาวที่มีไลฟ์สไตล์ของคนเมือง หลายคนก็อาจจะเพิ่งกลับมาจากเมืองนอก มีความเป็น international รักสุขภาพ สนใจที่จะอยู่ใกล้สวนสาธารณะอย่าง สวนเบญจกิติ สวนเบญจสิริ เพื่อที่จะตื่นออกไปวิ่งในตอนเช้า 

Benchakitti park
Benchakitti Park

และเรื่องนี้ก็กำลังกลายเป็นเทรนด์หลักของโลก เพราะจากที่เราศึกษาเมืองอย่าง นิวยอร์ก ก็พบว่าอะไรที่มันใกล้เซ็นทรัลพาร์คราคามันจะไม่ค่อยหยุด มีแต่มูลค่าจะเพิ่มขึ้นในอนาคต คนเริ่มไม่ได้ออกไปหาป่าหาเขาข้างนอก แต่พยายามใช้ facility (สิ่งอำนวยความสะดวก) ที่รัฐเป็นคนดูแลและจัดสรรให้ ทำให้ที่ดินที่อยู่รอบๆ สวนสาธารณะกลางเมืองในกรุงเทพฯ หายากมากๆ เพราะมันเป็น prime location จริงๆ

แนวโน้มของการมีครอบครัวที่เล็กลงของคนรุ่นใหม่

เทรนด์เรื่องนี้ คุณเอ บอกว่าแนวโน้มนั้นชัดเจนมาก ด้วยความที่ origin ทำโครงการในทุกเซกเมนต์ ทำให้ได้เห็นตัวเลขจริงๆ ว่า คนโสดนั้นมากขึ้นตามที่เขาพยากรณ์กันจริงๆ รวมถึงได้เห็นทิศทางว่าคนโสดเริ่มซื้อทรัพย์สินของตัวเองกันมากขึ้น พยายามทำตัวเป็นอิสระ  ถึงแม้จะมีบางคู่ที่อยู่กันแบบไม่แต่ง แต่เวลาซื้อก็ไม่ได้ใช้ชื่อร่วมกัน ต้องตัดสินใจให้คนใดคนหนึ่งไปเลย หรือไม่ก็ซื้อ 2 ยูนิตไปเลย ถึงแม้จะเป็นคู่แต่งงานแต่ก็มีแน้วโน้มที่จะไม่มีลูกกันมากขึ้น คือทำงานมีรายได้ทั้งคู่แต่ไม่มีลูก หรือที่เราเรียกกันว่า DINK (Double Income No Kids) ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่มาก

แล้วกลุ่ม DINK นี้ก็เป็นกลุ่มที่ใช้ชีวิตกันจริงๆ เช่น อาจจะเดินทางมากขึ้น ท่องเที่ยวมากขึ้น คอนโดก็จะตอบโจทย์คนกลุ่มนี้ได้มากกว่า เพราะดูแลง่าย ทุกอย่างมีคนดูแลให้ รวมถึงระบบความปลอดภัยต่างๆ ก็หนาแน่นกว่าพวกบ้านจัดสรรหรือทาวน์เฮ้าส์แน่นอนครับ

สุดท้ายคุณเอ ก็ขอฝากโครงการทั้งหมดของ Origin หากใครที่สนใจต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม หรือต้องการเยี่ยมชมโครงการ ก็สามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ https://www.origin.co.th/ หรือโทรสอบถามได้ที่เบอร์ 02 0300 000

หรือในส่วนของโครงการ Park Origin Phrom Phong รายละเอียดเพิ่มเติมที่ลิงก์นี้เลยครับ https://www.origin.co.th/condominium/park-origin-phromphong

Banner Ads Park Phrom Phong
Park Origin Phrom Phong
Advertisements

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่