“การทำดีกับคนอื่นเป็นศิลปะ และคนที่ทำได้ก็คือเป็นศิลปิน”
“Being good with people is an art, and the person who provides it, is an artist.”
– Seth Godin –
คำพูดข้างต้นนี้ช่วยตอกย้ำความสำคัญของหนึ่งในทักษะที่ถูกพูดถึงกันมากในปัจจุบัน นั่นคือ “Social Intelligence” หรือ “ความฉลาดทางสังคม”
เราอาจเคยได้ยินคำว่า Emotional Intelligence (ความฉลาดทางอารมณ์) มาก่อน แต่ในโลกที่ผันผวน อีกทั้งยังมีความแตกต่างที่หลากหลาย ทำให้เราต้องเพิ่มทักษะสำคัญอย่าง Social Intelligence เพราะมันคือความสามารถในการเชื่อมโยงกับคนอื่น และยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานด้วยการเป็นที่รักที่ชอบของผู้อื่นอีกด้วย
การบอกว่า ‘เป็นที่รักที่ชอบของผู้อื่น’ อาจทำให้บางคนนึกไปถึงคนที่ชอบประจบประแจง แต่ Social Intelligence นั้นไม่ใช่ ทักษะนี้ไม่ได้ให้เราฝึกยกยอปอปั้น แสร้งว่าเข้ากันได้ดีกับคนทุกคน แต่ในทางตรงกันข้าม เราสามารถเป็นตัวเองของตัวเอง พร้อมมีความ ‘เข้าอกเข้าใจ’ คนอื่นต่างหาก
และเพื่อให้เราเข้าใจการมี Social Intelligence ลองมาดูกันว่า คนที่มีความฉลาดทางสังคมมักจะทำอะไรกันบ้างที่เราสามารถนำไปปรับใช้ได้ในชีวิตประจำวัน
1. แนะนำคนรู้จักให้กับผู้อื่น
เคยเจอเพื่อนที่เป็นเสมือน HR ของกลุ่มไหม? คนที่เวลาเราอยากได้ฟรีแลนซ์มารับงาน อยากได้ช่างมาซ่อมบ้าน หรืออยากได้ที่ปรึกษาทางการเงิน เขาก็พร้อมจะส่งคอนแทกต์คนที่เขาอยากแนะนำมาให้เสมอ คนประเภทนี้คือคนที่มี Network หรือคอนเน็กชันอยู่มากมาย ซึ่งเขาไม่ได้ได้มาด้วยอำนาจบารมี แต่ได้มาด้วยการ ‘แบ่งปัน’
ในชีวิตของเรา จะมีสักกี่ปัญหาที่เราอยากเผชิญหน้าเพียงลำพัง อย่างน้อยการมีใครสักคน โดยเฉพาะคนที่น่าจะเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ มาคอยแนะนำ ช่วยแก้ไขไปด้วยกันย่อมดีกว่า ดังนั้น การแก้ปัญหาที่ดีที่สุด คือการที่เรามีเครือข่ายที่แข็งแรง ซึ่งเราจะไม่สามารถพบเครือข่ายที่ว่านี้ได้ หากเราไม่เคย ‘สร้างเครือข่าย’ ของเราเอง
และการสร้างเครือข่ายที่ดีที่สุดก็คือการช่วยคนอื่นสร้างเครือข่ายนั่นเอง อย่างการช่วยเหลือให้ผู้อื่นได้มีโอกาสรู้จักคนมากขึ้นและเร็วขึ้น เมื่อเกิดการเชื่อมต่อระหว่างกัน วันหนึ่งที่เพื่อนของเรา หรือตัวเราเองมีปัญหา เครือข่ายเหล่านี้ก็อาจจะหยิบยื่นความช่วยเหลือ และสามารถช่วยเราให้ผ่านพ้นวิกฤตของชีวิตไปได้โดยที่เราไม่ต้องเผชิญมันอยู่คนเดียว
2. ไม่ด่วนตัดสินคน
ไม่ว่าจะเป็นคนที่เปิดประตูให้ คนเสิร์ฟอาหาร หรือใครก็แล้วแต่ คนที่มี Social Intelligence จะเคารพ พูดคุย และปฏิบัติต่อคนเหล่านั้นอย่างให้เกียรติในฐานะมนุษย์เสมอ เพราะเราไม่อาจรู้ได้เลยว่าคนที่เราพบเจอจะสร้างความมหัศจรรย์ และส่งผลต่อชีวิตเราได้ขนาดไหน และไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เราทำ จะสร้างความประทับใจให้อีกฝ่ายมากน้อยเพียงใด
อย่าลืมว่าโลกนี้กลมมาก และบางครั้งมันก็ส่งคนมาหาเราด้วยวิธีการแสนแปลกประหลาด ถ้าวันใดเรามองข้ามใครไป เราก็อาจสูญเสียโอกาสในการรู้จักกับใครบางคนไป คนที่มี Social Intelligence จึงมักมองออกไปรอบๆ ตัว ยิ้มทักทายคนอื่นๆ ซึ่งบางทีความสุขง่ายๆ อาจเกิดจากการได้สื่อสารกับผู้คนที่อยู่ตรงหน้าเราก็ได้
3. เป็นผู้ฟัง (ให้ลึก) มากกว่าผู้พูด
ในแต่ละวันเราต้องติดต่อสื่อสารและพูดคุยกับผู้คนนับไม่ถ้วน หลายครั้งที่เราฟังใครสักคนพูด เราก็แค่ฟังเพื่อจะตอบแต่สำหรับคนที่มี Social intelligence สูง เขาจะฟังและคิดตาม คิดแบบไม่เอาความรู้สึกหรืออารมณ์ส่วนตัวใส่เข้าไป ซึ่งคนจำนวนมากมักนำเรื่องราวของตัวเองมากั้นระหว่างฟัง เรื่องที่ได้ยินจึงผ่านอคติส่วนตัวมาแล้วหนึ่งชั้น และบางครั้งเราก็ทำตัวเป็นผู้ฟังที่ไม่ดี เพราะเราแค่ ‘ได้ยิน’ แต่ ‘ไม่ได้ฟัง’ โดยการทำอย่างอื่นไปด้วย
ช่วงนี้หลายๆ คนต้องเข้าประชุมออนไลน์บ่อย เมื่อไม่ได้นั่งเผชิญหน้ากัน ก็มีหลายครั้งที่เรามักจะทำงานนั้นงานนี้ไปด้วยระหว่างประชุม ทำให้การเข้าประชุมนั้นไร้ความหมายไปโดยปริยาย เพราะนอกจากจะไม่เข้าใจเนื้อหาทั้งหมดแล้ว งานที่ทำแทรกไปด้วยก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร กลายเป็นเสียเวลาไปหมด
สิ่งที่อยากแนะนำก็คือ เวลาใครพูดอะไร เราลองเงียบดูสักหน่อย แล้วจะค้นพบว่า ความสามารถในการฟังเป็นเครื่องมือที่ทรงคุณค่า สำหรับการสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่น และจะทำให้คนชอบเรามากขึ้นด้วย
4. หาโอกาสเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ
ตอนเด็กๆ เรามักจะถูกสอนว่า อย่าทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว คือคิดว่าตัวเองรู้เยอะและเก่งกาจจนไม่สามารถเติมอะไรเข้าไปได้อีกแล้ว ในความเป็นจริง การรู้ว่าตัวเองเก่งนั้นไม่ผิดอะไรเลย แต่เราต้องยอมรับว่า ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่เราไม่รู้ และการเปิดโอกาสให้ตัวเองได้เรียนรู้อยู่เสมอ ด้วยการเปิดหูเปิดตาฟัง และเปิดใจรับนั้นจะทำให้เราเก่งขึ้นเรื่อยๆ
ลองทำตัวเหมือนเราเป็น ‘นักเรียน’ ลดอีโก้ลง เราจะเห็นว่า เรื่องราวหรือผู้คนที่เราพบเจอในทุกๆ วันนั้นสามารถสอนเราได้ เพียงแค่เราต้องเป็นแก้วที่เปิดโอกาสให้น้ำเติมเข้ามา
5. ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน
มีคำพูดหนึ่งของ John Maxwell เขาบอกว่า “Keeping score is for games, not friendships.” หมายความว่า การเก็บคะแนน การจดคะแนน มันสำหรับกีฬา ไม่ใช่สำหรับมิตรภาพ
เวลาเราไปช่วยใคร เราไม่ควรไป ‘นับแต้มบุญคุณ’ หลังจากที่คุณช่วยเหลือไปแล้วก็จบกันไป ส่วนสิ่งที่มันจะกลับมาหลังจากนั้น ก็ขอให้เป็นเรื่องที่เขาอยากทำให้เรา เราจะไม่รู้สึกรอคอยการตอบแทน หรือนับเป็นโควตาที่เราสามารถย้อนขอสิ่งตอบแทนจากเขาได้ ภายใต้ขอบเขตการช่วยเหลือที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรง ไม่ทุ่มจนตัวเองได้รับความลำบาก ซึ่งการให้โดยไม่ร้องขอการตอบกลับนี่แหละ คือสิ่งที่คนมี Social Intelligence เป็น
ทักษะ Social Intelligence สามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้ ด้วยการไม่เมินเฉยกับคนที่เราเจอ ตั้งใจฟังในทุกๆ บทสนทนา ให้ความช่วยเหลือคนที่มีปัญหา รวมถึงแนะนำเพื่อนหรือคนรู้จักให้กับผู้อื่น และอย่าลืมเปิดใจที่จะเรียนรู้จากผู้คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา
เพราะการจะประสบความสำเร็จในโลกที่มีความแตกต่างและหลากหลาย เราไม่อาจเดินไปในเส้นทางคนเดียวได้ แต่ต้องมีคนที่รักและเข้าใจเราเช่นกัน
แปลและเรียบเรียงจาก: https://bit.ly/38yFv7j
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
#softskill
ติดตามความเคลื่อนไหวและเนื้อหาน่าสนใจอื่นๆ ได้ที่ https://missiontothemoon.co/