5 ข้อผิดพลาดที่ทำให้ทำตามเป้าหมายไม่ได้เสียที

1095
ทำตามเป้าหมายไม่ได้

ในหลายการสำรวจพบว่า 81-92% ของคนที่ตั้งปณิธานปีใหม่ (New Year’s Resolutions) ทำตามที่ตั้งไว้ไม่สำเร็จ พูดง่ายๆ ก็คือคนเรามีโอกาสถึง 8 ใน 10 ที่จะกลับมาทำนิสัยเดิมๆ มากกว่าเปลี่ยนแปลงตัวเองตามที่วางแผนไว้

ไม่แปลกหรอก การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเป็นเรื่องยาก

เจมส์ เคลียร์ ผู้เขียนหนังสือ “Atomic Habits ชีวิตดีได้กว่าที่เป็น” ได้พูดถึง 5 เหตุผลที่ทำให้หลายๆ คนล้มเหลวในการเปลี่ยนแปลงตัวเอง และวิธีแก้ไขไม่ให้เราเจอข้อผิดพลาดเช่นเดิมอีก

Advertisements

ข้อผิดพลาดที่ 1 : พยายามทำอะไรหลายอย่างพร้อมๆ กัน

ในยุคหลังๆ หากคุณอ่านหนังสือหรือบทความเกี่ยวกับการพัฒนาตนเอง ผู้เขียนหลายคนมักเห็นตรงกันว่าการเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กๆ อย่างสม่ำเสมอนั้นเอง เป็นสิ่งที่จะนำเราไปสู่ความสำเร็จ

และจำนวนส่วนใหญ่ที่คนแนะนำเหมือนกันคือ 3 พฤติกรรม

แต่! ต้องเป็น 3 พฤติกรรมที่ “เล็ก” มากๆ หากถามว่าเล็กแค่ไหน BJ Fogg ผู้เขียนหนังสือ Tiny Habits แนะนำว่าต้องเริ่มเล็กที่สุด เช่น..

– ขัดฟัน 1 ซี่ต่อวัน

– วิดพื้น 1 ครั้งต่อวัน

– บอกตัวเอง 1 ครั้งหลังตื่นนอนว่า ‘วันนี้จะเป็นวันที่ดี’

ส่วนเจมส์ เคลียร์ ผู้เขียนบทความชอบในการเปลี่ยนทีละ 1 พฤติกรรมมากกว่า หากนิสัยนั้นกลายมาเป็นกิจวัตรแล้วค่อยขยับไปทำพฤติกรรมอื่นๆ ในลำดับถัดไป ยกตัวอย่างเช่น เขาเริ่มออกกำลังกายทุกๆ วันจันทร์ พุธ และศุกร์เป็นเวลา 6 เดือน พอเริ่มชินกับกิจวัตรนี้แล้ว เขาค่อยเริ่มเขียนบทความทุกวันจันทร์และพฤหัส ครั้งนี้เขาใช้เวลาถึง 8 เดือนกว่านิสัยนี้จะกลายมาเป็นชีวิตประจำวัน

เขายังแอบแนะนำอีกว่าให้เลือก “พฤติกรรมสำคัญ” (Keystone Habit)

พฤติกรรมที่ว่าคือ 1 การกระทำที่จะส่งผลให้ด้านอื่นๆ ในชีวิตของเราต้องปรับตามโดยธรรมชาติ ยกตัวอย่างเช่น หากเราตั้งใจจะออกกำลังกายโดยการยกน้ำหนักเป็นประจำ มีแนวโน้มว่าเราจะทานอาหารดีขึ้นและนอนหลับได้สนิทมากขึ้น เพราะต้องดูแลร่างกายให้แข็งแรง มีแรงออกกำลังกาย จะเห็นว่าแม้เราโฟกัสที่การยกน้ำหนัก แต่พฤติกรรมด้านการนอนและการกินของเราก็ดีขึ้นตาม

ข้อผิดพลาดที่ 2 : เล่นใหญ่เกินไปหน่อย

หนึ่งในสิ่งที่ยากที่สุดในการเปลี่ยนแปลงนิสัยคือ ‘การลงมือทำ’ เพราะเราต้องใช้แรงจูงใจอย่างมากในการเริ่มต้น หากเริ่มไปแล้วดูจะใช้แรงใจน้อยกว่าตอนจะเริ่มเสียอีก 

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมต้องเริ่ม “เล็กๆ” และ “ง่ายๆ”

ยกตัวอย่างเช่น การวิดพื้นวันละ 50 ครั้ง แค่ฟังเราก็ไม่อยากทำแล้ว แต่ถ้าเริ่มจากวันละ 5-10 ครั้งแล้วค่อยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้อาจทำให้เราทำได้ต่อเนื่องมากกว่า หรือถ้าหากเราอยากอ่านหนังสือให้มากขึ้น ลองเริ่มจากการอ่านวันละ 1-2 หน้าดูไหม

ข้อผิดพลาดที่ 3 : โฟกัสแค่ผลลัพธ์ แต่ลืมวิธีการ

บทสนทนาเกี่ยวกับผลลัพธ์เป็นที่พูดถึงบ่อยในการตั้งเป้าหมาย เรามักจะได้ยินคนพูดว่า “อยากลดน้ำหนักให้เหลือ 45” และ “ฉันจะเก็บเงินให้ได้ 100,000 บาท” บ่อยกว่าการพูดถึงวิธีการว่าจะออกกำลังกายอย่างไร และจะต้องเก็บเงินวันละเท่าไหร่

ไม่แปลกหรอก ภาพเราในอนาคตตอนที่ทุกอย่างสำเร็จแล้วช่างน่าตื่นเต้น แต่ปัญหาก็คือผลลัพธ์นั้นไม่ได้นำมาสู่ความสำเร็จ (แม้จะช่วยเพิ่มกำลังใจให้เราก็จริง) การกระทำอย่างสม่ำเสมอต่างหากที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ

Advertisements

ดังนั้นจริงๆ แล้วเราควรโฟกัสที่ ‘วิธีการ’ มากกว่า ‘เป้าหมาย’

ข้อผิดพลาดที่ 4 : อยู่ในสภาพแวดล้อมเดิมๆ

สภาพแวดล้อมเป็นสิ่งสำคัญ ยกตัวอย่างเช่น หากเราอยากทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ แต่เปิดตู้เย็นไปเจอแต่อาหารขยะ ก็มีแนวโน้มว่าเราจะลงเอยด้วยการกินอาหารเหล่านั้น หรือการที่เรารายล้อมด้วยคนที่คิดแต่แง่ลบ คงยากที่เราจะคิดบวกได้

แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่จริงๆ แล้วพฤติกรรมเราเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองกับสภาพแวดล้อมรอบๆ เราทั้งสิ้น ดังนั้นถ้าหากเราอยากเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเอง ปัจจัยที่อาจช่วยได้มากคือการ “เปลี่ยนสภาพแวดล้อม”

ยกตัวอย่างเช่น หากคุณอยากรีบลุกจากเตียงและเลิกเล่นโทรศัพท์ในตอนเช้า ความตั้งใจอย่างเดียวคงไม่พอ คุณอาจเผลอนอนเล่นโทรศัพท์เข้าสักวันเพราะมันใกล้แค่เอื้อม แต่ถ้าหากคุณวางโทรศัพท์ไว้นอกห้องนอนและซื้อนาฬิกาปลุกแบบตั้งโต๊ะแทน อาจช่วยแก้พฤติกรรมนี้ได้ดีกว่า หรือในกรณีที่คุณซื้ออาหารเสริมมาใหม่ แต่ดันลืมกินบ่อยๆ การวางอาหารเสริมไว้ข้างๆ ขวดน้ำและแก้วน้ำก็ช่วยได้เยอะ

ไม่เพียงแค่ในโลกความจริงเท่านั้น โลกดิจิทัลก็อนุญาตให้เราเปลี่ยนสภาพแวดล้อมเช่นกัน เป็นต้นว่า การปิดการแจ้งเตือนโทรศัพท์มือถือและล็อกแอปฯ โซเชียลมีเดียทุกครั้งในเวลาทำงาน

ถ้าสภาพแวดล้อมไม่เปลี่ยน ก็คงเป็นเรื่องยากที่เราจะเปลี่ยน ดังนั้นหันมาออกแบบสภาพแวดล้อมให้สอดคล้องกับเป้าหมายด้วย

ข้อผิดพลาดที่ 5 : มองข้ามการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ

เรามักจะคาดหวังการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่และเห็นชัด (เช่น ฉันจะมีกล้ามหน้าท้องให้ได้ภายใน 1 เดือน!) แผนการของเราเลยยิ่งใหญ่ตาม จนสุดท้ายเราเหนื่อยและถอดใจไปเอง อย่างไรก็ตาม หากเราสังเกตดีๆ เราจะพบว่า การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทุกวันและตลอดเวลา ไม่ว่าจะดีหรือร้าย

หากเรานอนดึกทุกวัน เมื่อผ่านไปหลายสัปดาห์ ทั้งสุขภาพจิตและกายก็จะย่ำแย่ลง หรือ หากเราอ่านหนังสือก่อนนนอนวันละ 1-2 หน้า ผ่านไปไม่นานเราก็สามารถอ่านได้จบเล่ม จะเห็นได้ว่า 1% นิดๆ หน่อยๆ ที่ดูไม่มีผลในวันนี้ พอรวมกันแล้วกลับสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างมหาศาล

mm2021

‘ไม่ทำอะไรหลายอย่างพร้อมกันเกินไป’ ‘เริ่มจากสิ่งที่ง่ายที่สุด’ ‘ใส่ใจวิธีการ’ ‘ออกแบบสภาพแวดล้อมให้ดี’ และ ‘อย่าละเลยพลังของการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ’ 5 บทเรียนนี้แหละที่จะช่วยให้การทำตามเป้าหมายของเราในปีนี้เป็นไปได้ด้วยดีกว่าที่เคย หากปีที่แล้วเราเคยทำผิดพลาด อย่าพึ่งถอดใจ ปีนี้เรามาลองกันใหม่อีกครั้งนะ

สำหรับใครที่สนใจตามหาตัวช่วยวางแผนชีวิต เราขอแนะนำ “One Small Step Planner 2022” รอบปกติเริ่มวางขายวันแรก 1 พฤศจิกายน 2564 ในราคาเพียงเล่มละ 990.- เท่านั้น!

ติดตามรายละเอียดได้ที่ >> https://bit.ly/3lyNw3k

ส่วนในรอบพรีออเดอร์ “One Small Step Planner 2022” ได้มีการปิดการขายไปแล้วในวันที่ 22 ตุลาคม 2564  ทางทีมงานขอขอบคุณลูกค้าที่อุดหนุนเข้ามากันอย่างล้นหลาม สำหรับท่านใดที่ซื้อไม่ทัน ย้ำกันอีกครั้งว่าไม่ต้องห่วง! เพราะเราจะเปิดการขายรอบปกติอีกครั้งในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 นี้ รอติดตามข่าวสารกันได้ที่หน้าแฟนเพจมิชชั่น ทู เดอะ มูน ได้เลย

แปลและเรียบเรียง
https://bit.ly/3n7MTgY

#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
#selfimprovement

ติดตามความเคลื่อนไหวและเนื้อหาน่าสนใจอื่นๆ ได้ที่ https://missiontothemoon.co/

Advertisements