13 พฤติกรรมเล็กๆ ที่กินเวลาคุณโดยไม่รู้ตัว

790
1920-13 Dangerous Time-Wasters

เหมือนวันหนึ่งมีไม่ถึง 24 ชั่วโมง?
ตรวจสอบ 13 พฤติกรรมเล็กๆ ที่กินเวลาคุณโดยไม่รู้ตัว

ใครกำลังรู้สึกบ้างว่า “ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร ก็จะหมดวันแล้ว” ยิ่งวันเสาร์-อาทิตย์ ถึงจะไม่ได้ทำงาน แต่ก็ยังไม่มีเวลาพักผ่อนแบบเต็มที่เลย เวลาแสนมีค่าของเราหมดไปกับอะไรกันนะ

ถ้าเรากำลังสงสัยว่า “เวลาหายไปไหน”ลองมาดูสถิติจาก Statista (2021) กันหน่อยดีกว่า… Statista บอกว่า คนทั่วโลกใช้เวลาบนโซเชียลมีเดียเฉลี่ยเกือบ 3 ชั่วโมงต่อวัน แต่นอกจากโซเชียลมีเดียแล้ว พฤติกรรมเล็กๆ ที่เราอาจคิดไม่ถึง ก็สามารถกินเวลาเราไปเรื่อยๆ เมื่อมันประกอบกับพฤติกรรมอื่นๆ ในชีวิต

แล้วเราจะทำอย่างไรให้ได้ชั่วโมงชีวิตที่เสียไปกลับคืนมา?

บทความเรื่อง “20 Dangerous Time-Wasters and Why You Should Stop Them” จากเว็บไซต์ Cosmopolitan Mindset ได้ให้คำแนะนำถึงพฤติกรรมที่เราน่าจะเลิกทำ เพื่อไม่ให้เสียเวลาไปเปล่าๆ ลองไปดูกันว่า เรากำลังผลาญเวลาไปโดยไม่รู้ตัวกับการทำอะไรบ้าง

1. เล่นโซเชียลมีเดียไปเรื่อยเปื่อย

เคยเป็นไหม ว่างทีไรเราก็ไถหน้าฟีด Facebook, ไทม์ไลน์ Twitter, Tiktok หรือดู IG สตอรี่ของเพื่อนเราไปเรื่อยๆ ความเพลิดเพลินจากการไถหน้าฟีดอาจกินเวลาไปเป็นชั่วโมงๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว และถ้าหากเราอยู่กับมือถือมากเกินไป ก็อาจส่งผลต่อการนอนหลับและความจำด้วย ลองจำกัดการเล่นเป็นช่วงเวลา และปิดแจ้งเตือนเมื่อถึงเวลาพักผ่อน เพื่อให้ตนเองมีเวลาทำอย่างอื่นบ้าง

2. ทำงานหลายอย่างพร้อมกันมากเกินไป

การเป็นคน Multitasking อาจไม่ดีอย่างที่คิด เพราะแทนที่จะประหยัดเวลา กลับเสียเวลามากขึ้นเพราะการทำงานหลายอย่างพร้อมกันทำให้เราไม่มีสมาธิจดจ่อไปที่งานใดเลย จึงมักพบข้อผิดพลาดหลายจุดในงาน ทำให้ต้องเสียเวลากลับมาแก้งานซ้ำสอง ดังนั้น ลองหันมาสนใจงานชิ้นใดชิ้นหนึ่งให้เสร็จสมบูรณ์ แล้วจึงค่อยไปทำงานชิ้นใหม่ดูนะ

3. หาของไม่เจอ

ปัญหาสามัญประจำบ้านจนหลายคนมองว่า นี่คือเรื่องปกติในชีวิต แต่ปัญหานี้กำลังทำให้เราสิ้นเปลืองทั้งเวลา และพลังกายในการเดินหาของที่ต้องการอีกด้วย ลองฝึกนิสัยการเก็บของให้เป็นที่ เพื่อเซฟเวลา 5-10 นาทีในการหาของ แถมยังไม่ต้องหัวเสียอีกด้วย

4. ไม่วางแผนว่า มื้อต่อไปจะกินอะไร

การเลื่อนดูร้านอาหารในแอปฯ เดลิเวอรีเป็นชั่วโมงๆ นั้นเป็นตัวกินเวลาไม่น้อย ลองวางแผนอาหารแต่ละมื้อไว้ล่วงหน้า นอกจากจะไม่ต้องถามตัวเองซ้ำๆ ว่าจะกินอะไรดี ยังสามารถเลือกสั่งอาหาร หรือทำอาหารเผื่อไว้ได้ในครั้งเดียว หรือหากอาหารมื้อไหนให้พลังงานมากเกินไป เราจะได้วางแพลนออกกำลังกายไว้ล่วงหน้าด้วย

5. ดูโทรทัศน์

ตอนนี้หลายคนหันมาดู Netflix ผ่านโทรทัศน์จนกลายเป็นกิจกรรมหลักในชีวิต บางคนอาจยอมสละเวลาสี่ชั่วโมงหรือตลอดทั้งวัน ไปกับซีรีส์เรื่องโปรดจนไม่อยากทำอย่างอื่น แม้แต่การนอน สิ่งนี้อาจจะเป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของเรา แต่อย่าให้พื้นที่หน้าโทรทัศน์กลายเป็นโซนหลักในการใช้ชีวิต ลองเรียงลำดับสิ่งที่ต้องทำ และให้ซีรีส์เป็นส่วนเติมเต็มเวลาที่ว่างหรือเครียดจริงๆ ดีกว่า

6. ไม่เขียนลิสต์สิ่งที่ต้องทำ

เคยไหม เสียเวลานั่งเฉยๆ เป็นชั่วโมงเพราะนึกไม่ออกว่า วันนี้เราต้องทำอะไรบ้าง หรือต้องเอาเวลาที่เราจะได้พักผ่อนมาให้กิจกรรมที่เราดันลืมทำไปซะงั้น ดังนั้น อย่าลืมเขียนสิ่งที่ต้องทำพรุ่งนี้ไว้ เรียงตามความสำคัญของกิจกรรมนั้นๆ เราอาจจะเริ่มเขียนลิสต์ตั้งแต่คืนนี้ หรือเขียนตอนเช้าวันพรุ่งนี้ก็ได้

7. รับนัดคนที่ไม่อยากเจอ

ใบบทความมีคำแนะนำว่าอย่าไปนัดกับเพื่อนเก่าที่มักจะคุยกันแต่เรื่องเก่าๆ แต่จริงๆ แล้วถ้าเขาเป็นคนที่เราคิดถึง การไปกินข้าวด้วยกันก็คุ้มค่าทางจิตใจนะ ส่วนนัดที่ทำให้เสียเวลาจริงๆ ก็คือการนัดเจอคนที่ไม่อยากเจอต่างหาก ตอนนี้ยุค New Normal แล้ว การงดพบเจอผู้คนแทบจะกลายเป็นเรื่องปกติ ลองปฏิเสธให้เป็น เพื่อเก็บเวลาที่มีค่าคืนมาดีกว่า

8. เช็กอีเมลตอนกำลังยุ่ง

จริงๆ แล้ว อีเมลก็เสมือนเป็นโซเชียลมีเดียเวอร์ชันทางการนะ สิ่งนี้สามารถดึงดูดความสนใจและเวลาเราไปได้ดีไม่แพ้แอปฯ โซเชียลเลย การเช็กอีเมลตอนกำลังทำงานอื่นจะทำลายสมาธิที่มี ทำให้เสียเวลาทำงานสำคัญไปด้วย ควรจัดเวลาสำหรับเปิดอีเมลเป็นช่วงๆ อย่าเช็กทั้งวัน เช่น เปิดตอนเช้าก่อนเริ่มทำงาน พักเที่ยง และช่วงก่อนกลับบ้านก็พอแล้ว

9. ไม่ทำรายการของที่ต้องซื้อ

การได้ไปเดินเที่ยวห้างสรรพสินค้า ปล่อยให้เราได้กวาดสายตามองว่า มีของอะไรน่าซื้อบ้าง อาจเป็นความสุขของใครหลายๆ คน แต่ก็เป็นกิจกรรมที่ใช้เวลามากเช่นกัน แถมยังอาจหยิบของไม่จำเป็นติดมาด้วย เพราะฉะนั้น อย่าลืมเขียนรายการที่ต้องซื้อของ เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลากลับมาซื้อใหม่เวลาลืมซื้อของใช้จำเป็น และไม่ซื้อเกินจนงบบานปลายด้วย

10. ไม่ตั้งใจทำงาน

หลายคนต้องทำงานอยู่ที่บ้าน ทำให้สมาธิเราถูกแบ่งไปให้ทั้งงานบ้าน สมาชิกในครอบครัว สัตว์เลี้ยง แต่งานที่ทำอยู่ไม่คืบหน้าเลย ลองหันมาโฟกัสงานที่อยู่ตรงหน้า ไม่ว่อกแว่กไปกับสภาพแวดล้อมตอนนี้ การโฟกัสกับงานจริงๆ จะเกิด “Deep Work” ซึ่งเป็นสภาวะที่เราตั้งใจทำงานจนไม่สนใจเวลาที่ผ่านไป จะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

11. ไม่ยอมซื้อของออนไลน์

จริงอยู่ที่การได้เดินเลือกของ ได้สัมผัสของจริงนั้นช่วยให้เราซื้อสินค้าได้อย่างมั่นใจ แต่ของบางอย่างก็สามารถซื้อออนไลน์ได้ นอกจากไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปซื้อแล้ว ยังสามารถเปรียบเทียบราคาหลายๆ ร้าน ได้แค่ปลายนิ้วคลิก แต่ก็อย่าติดลมดูของอื่นๆ เพลินล่ะ เดี๋ยวจะเสียเวลามากกว่าเดิม

12. ไม่มีการกำหนดเวลาทำงาน

เวลาทำงานออนไลน์ หลายคนมักทำงานจนลืมเวลาพัก หรือต้องเข้าประชุมติดต่อกันหลายชั่วโมง จนรู้สึกเหนื่อยล้าและไม่มีเวลาให้ตัวเอง ลองกำหนดเวลาทำงานแบบ Time Blocking เช่น ทำงานแรก 1 ชั่วโมง พัก 10 นาที ทำงานต่อไป 30 นาที พัก 5 นาที เพื่อกำหนดให้ตัวเองทำงานอยู่ในกรอบเวลา ไม่กินเวลาของกิจกรรมอื่นๆ

13. ย้ายที่ทำงานอยู่บ่อยๆ

ตอนนี้เราเริ่ม Work From Everywhere ทำให้หลายๆ คนไปหาที่นั่งทำงานที่อื่น อย่างร้านกาแฟใกล้บ้าน ห้องสมุดสาธารณะเงียบๆ ซึ่งบางคนอาจเปลี่ยน 2-3 ที่ทำงานในหนึ่งวันเลย เพราะรู้สึกเบื่อ หรือมีคนเยอะเกิน แต่การเปลี่ยนพื้นที่ทำงานบ่อยๆ ก็ไม่ใช่เรื่องดีเหมือนกัน เพราะระหว่างเราย้ายสถานที่ ร่างกายเราจะขาดสมาธิ ทำให้ทำงานได้ไม่ต่อเนื่อง ลองทำงานที่ใดที่หนึ่งยาวๆ แต่ใช้วิธีพักเบรกด้วยกิจกรรมอื่นแทน จะได้ไม่เสียเวลากับการเปลี่ยนที่บ่อยๆ จะดีกว่า


หลายการกระทำแม้จะดูน้อยนิด แต่หากเราเลิกทำได้ เราอาจได้เวลาเพิ่มในชีวิตมาหลายชั่วโมงเลย ลองนำคำแนะนำนี้ไปปรับใช้ดู แต่ถ้าบางอย่างนั้นเลิกยาก เพราะอาจช่วยฮีลจิตใจได้ดี ก็ลองปรับเวลาในการทำแต่ละอย่างให้เหมาะสม เพื่อที่เราจะได้เวลาไปทำสิ่งที่ต้องทำจริงๆ มากขึ้น อย่างการเรียนรู้สิ่งที่อยากทำมานาน หรือการเข้านอนเร็วๆ เพื่อพักผ่อนให้เพียงพอก็ได้เช่นกัน


เนื้อหาอื่นๆ ที่น่าสนใจ:
– อะไรบ้างที่ควรเลิกทำ เพราะทำให้เสียเวลาชีวิต?
– ว่างเปล่า? ใช้ชีวิตวนไปแบบไร้จุดหมาย? แก้ได้ด้วยแนวคิด “Flow”


อ้างอิง:
https://bit.ly/3qJrJsq
https://bit.ly/3qO5mlN
https://bit.ly/3Iq0IjO

#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
#softskill

Advertisements
Advertisements

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่