รู้จัก “Productivity Flow” 6 วิธีในการแก้ปัญหาคิดงานไม่ออก

Mission to the Moon X Mitsubishi Heavy Duty

เคยไหม? เมื่อต้องเริ่มต้นทำงานหรือลงมือทำอะไรสักอย่าง โดยเฉพาะงานที่ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นงานเขียน วาดรูป หรืองานฝีมือต่างๆ ทั้งๆ ที่มีไอเดียมากมาย ข้อมูลพร้อม หรือตารางงานรออยู่นับไม่ถ้วน แต่กลับคิดไม่ออกหรือเริ่มต้นไม่ได้สักที เพราะในหัวมีแต่ความว่างเปล่า บรรยากาศรอบตัวไม่เป็นใจ หรือขาดสมาธิ จนจัดลำดับความสำคัญไม่ได้

และยิ่งในช่วงเวลาที่รูปแบบการทำงานเปลี่ยนไปแบบนี้ คงทำให้เส้นแบ่งเวลาระหว่างชีวิตส่วนตัวกับการทำงานรวนไม่น้อย มิหนำซ้ำ ดูเหมือนว่ายิ่งเราพยายามจดจ่อหรือบังคับตัวเองมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้ผลออกมาไม่เป็นไปตามที่คาดหวังและเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์อีกด้วย หากเราปล่อยปัญหาเหล่านี้สะสมไว้นานๆ มีแต่จะยิ่งกระทบต่อชีวิตและหน้าที่การงานในระยะยาวอย่างแน่นอน แล้วเราจะแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไรดี?

รู้จัก “Productivity Flow” แก้ปัญหาคิดงานไม่ออกสู่การเริ่มต้นที่ลื่นไหล

“Productivity Flow” เป็นภาวะที่เราให้ความสนใจและจดจ่อกับงานตรงหน้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สมองแล่นและความคิดสร้างสรรค์พรั่งพรู ทำให้ทุกๆ อย่างดำเนินไปอย่างลื่นไหล โดยภาวะนี้ไม่เพียงช่วยให้เกิดช่วงเวลาที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Productive) เท่านั้น แต่ยังเป็นภาวะที่ทำให้เราสนุกและมีความสุขไปด้วย จนทำให้เวลาผ่านไปรวดเร็วอย่างไม่รู้ตัว และการรับรู้สิ่งรอบตัวหายไปชั่วขณะ อีกทั้งช่วยเพิ่มแรงจูงใจและความสามารถในการควบคุมสิ่งต่างๆ รอบตัวได้ดีอีกด้วย

แล้วถ้าอยากสร้าง “ภาวะ Flow” ต้องทำอย่างไร? 

ก่อนอื่นเราควรเริ่มต้นจากการทำ “สิ่งเล็กๆ” ที่ชอบและสนใจก่อน เพราะส่วนใหญ่แล้วความสำเร็จมักจะเกิดขึ้นจากการทำสิ่งเล็กๆ (Small Win) เป็นประจำทุกวัน ต่อมาก็ตั้ง “เป้าหมาย” (Goal) เพราะการมีเป้าหมายช่วยให้รู้ว่ากำลังทำอะไร ทำเพื่ออะไร และทำให้เรามีภาพใหญ่ที่ชัดเจนอีกด้วย และอย่าลืมที่จะ “มั่นใจในตัวเอง” เพราะพลังใจที่ดีที่สุดและคนที่รู้จักเราดีที่สุดก็คือ “ตัวเราเอง”

นอกจากนี้ ความคิดสร้างสรรค์และประสิทธิภาพของงานก็ต้องอาศัยทั้งปัจจัยภายในและภายนอกด้วยเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น สุขภาพกายและใจ สิ่งแวดล้อม หรือบรรยากาศต่างๆ ซึ่งวันนี้เราได้รวบรวม 6 วิธีง่ายๆ เพื่อช่วยสร้างสมาธิและไอเดียใหม่ๆ สู่การทำงานในภาวะ “Productivity Flow” ดังนี้

1. ออกจากสภาพแวดล้อมเดิมๆ

การพาตัวเองไปเจอสถานที่ใหม่ๆ จะช่วยชาร์จพลังชีวิตและเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) ให้เราโดยไม่รู้ตัว เพราะการอุดอู้อยู่ในพื้นที่แคบๆ หรือสภาพแวดล้อมเดิมๆ ทุกวันๆ ทำให้ไม่ได้พบเจอผู้คนหรือสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ รวมดึงแสงแดด ธรรมชาติ และอากาศบริสุทธิ์ โดยเราอาจเริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ อย่างการเดินไปเรื่อยๆ ตามสวนสาธารณะ การออกกำลังกาย หรือการร่วมกิจกรรม Workshop เป็นต้น

2. ปรับสภาพแวดล้อม

ในช่วงเวลาแบบนี้ หลายคนมีข้อจำกัดต่างๆ ทำให้ไม่สะดวกออกไปข้างนอก ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่กระชั้นชิด หรือการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด เพราะเราสามารถสร้างสรรค์สิ่งเล็กๆ ในบ้านได้ โดยอาจเริ่มจากการปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการทำงาน แบ่งโซนทำงานและพักผ่อนให้ชัดเจน

3. จัดการอารมณ์เชิงลบ

ความรู้สึกโกรธ หงุดหงิด กังวลใจ หรืออารมณ์เชิงลบต่างๆ นับเป็นเครื่องทำลายล้างความคิดสร้างสรรค์ชั้นดี เราจึงควรหลีกเลี่ยงสิ่งที่มักกระตุ้นความรู้สึกเหล่านี้ และควรพยายามอยู่กับสิ่งที่ช่วยให้อารมณ์ดีและจิตใจแจ่มใส แต่หากไม่สามารถเลี่ยงได้ การอ่านหนังสือภาพอาจช่วยปรับอารมณ์และเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ไม่น้อยทีเดียว

4. กำหนดงานที่ต้องทำ

การตั้งเป้าหมายรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือนไว้คร่าวๆ จะทำให้รู้ว่ามีเรื่องอะไรที่ต้องทำในแต่ละวัน ช่วยให้เห็นภาพรวมของชีวิตชัดเจนมากขึ้น ทำให้รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ทำถึงไหนแล้ว และต้องทำอะไรต่อไป นอกจากนี้ อาจใช้เทคนิค Pomodoro ช่วยแบ่งเวลางานและเวลาพักผ่อนในแต่ละวันได้ด้วย โดยเริ่มจากการกำหนดงานที่ต้องทำ โฟกัสกับงานตรงหน้า 25 นาที พักเบรก 5 นาที และทำวนไป 4 รอบ หลังจากนั้นพักอีก 15-20 นาที

5. ทำงานอดิเรกที่ต้องอาศัยความละเอียด

ความละเอียดนับเป็นอีกหนึ่งทักษะที่ช่วยเสริมสร้างสมาธิและพลังแห่งการจดจ่อไม่น้อย เมื่อใดก็ตามที่เรารู้สึกเบื่อหรือคิดงานไม่ออก อาจลองเปลี่ยนมาวาดรูป ระบายสี ต่อเลโก้ หรือทำงานฝีมือดูสักพัก อาจช่วยให้เราผ่อนคลาย มีสมาธิ และเกิดไอเดียใหม่ๆ มากขึ้น

6. หยุดทำไปก่อน

หากมาถึงข้อนี้แล้วยังคิดไม่ออกหรือหาทางแก้ไม่ได้ เราขอแนะนำให้ทุกคน “หยุดคิดและหยุดทำ” พักผ่อนสักพักแล้วไปทำอย่างอื่นแทนก่อน ไม่ว่าจะเป็นทานข้าว อาบน้ำ หรือนอนหลับ เพราะการฝืนมากไปไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น ซ้ำร้ายยิ่งทำให้สมองล้าและเพิ่มความกดดันมากขึ้นอีกด้วย

นอกจาก 6 เคล็ดลับง่ายๆ ข้างต้นแล้ว “การสร้างบรรยากาศที่ดีและเหมาะกับการทำงาน” เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน เราอาจตกแต่งพื้นที่เพิ่มเติมด้วยเทียนหอมหรือแผ่นปรับอากาศ เพื่อเพิ่มกลิ่นที่หอมสดชื่นช่วยให้การทำงานลื่นไหล และอาจเพิ่มต้นไม้เล็กๆ เพื่อให้เราได้ละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์สักพัก แล้วไปมองสิ่งที่น่ารื่มรมย์ให้กระชุ่มกระชวยใจ เพราะถึงเราจะมีไอเดียมากมายแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าบรรยากาศรอบตัวไม่เป็นใจ คิดเท่าไรก็คิดไม่ออกแน่นอน

ไหนจะอากาศเมืองไทยที่ร้อนแบบนี้ จะเปิดพัดลมทั้งวันก็คงไม่ไหว หรือจะหาพื้นที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวกก็ทำได้ยากเพราะพื้นที่อาจมีจำกัด รวมถึงจะเปิดแอร์ทั้งวันก็คงทำได้ยากเพราะกลัวค่าไฟจะแพง ไหนจะค่าบำรุงรักษาอีก แต่ถ้ามีเครื่องปรับอากาศที่มีคุณภาพดีพร้อมบริการที่ครบวงจร อย่าง Mitsubishi Heavy Duty ก็อาจช่วยลดปัญหาและความกังวลใจไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะสินค้าและบริการของ Mitsubishi Heavy Duty ที่จัดจำหน่ายโดย บริษัท มหาจักรดีเวลอปเมนท์ เป็นที่รู้จักมานาน ทำให้มั่นใจและการันตีได้ทั้งคุณภาพของสินค้า รวมถึงบริการที่ครบครัน รวดเร็ว และได้มาตรฐาน ตั้งแต่บริการติดตั้ง ล้าง และซ่อมบำรุง

ซึ่ง Mitsubishi Heavy Duty ก็มีเครื่องปรับอากาศหลากหลายรุ่นให้ผู้ใช้ทุกคนได้เลือกใช้ตามความชอบและความเหมาะสมของแต่ละคน

เริ่มจาก “Mitsubishi Heavy Duty รุ่น KAZE SERIES” ที่ช่วยสร้างบรรยากาศดีๆ เย็นฉ่ำให้ได้พักผ่อนและทำงานอย่างลื่นไหล ไร้กังวลเรื่องค่าไฟหรือมลพิษต่างๆ ด้วยโหมดการทำงานพลังสูง (Hi Power) ที่ช่วยเร่งประสิทธิภาพการทำงาน ให้เครื่องสามารถทำอุณหภูมิตามที่กำหนดไว้ภายใน 15 นาที พร้อมการออกแบบช่องลม (Jetflow) ที่ช่วยส่งลมได้ไกลสูงสุด 17 เมตร (ขึ้นอยู่กับรุ่นและขนาดการทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศ)

และแม้มลพิษภายนอกจะน่ากังวลแค่ไหน แต่ก็สบายใจได้ด้วย Nano Air Filter แผ่นฟอกอากาศที่มีคุณสมบัติในการกรองฝุ่น PM 2.5 และช่วยกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ด้วยแผ่นฟอกอากาศ Natural Solar Filter พร้อมฟังก์ชัน Self Clean Operation ที่ช่วยเป่าไล่ความชื้นและยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราและกลิ่นอับชื้น รวมถึง 24 Hour Ion ที่สร้างอากาศบริสุทธิ์เหมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติตลอด 24 ชั่วโมง

ส่วนรุ่น “Hoshi Series (YY)” เครื่องปรับอากาศรุ่นน้องใหม่แกะกล่องในปี 2022 ก็มาพร้อมกับประสิทธิภาพในการกรองฝุ่น PM 2.5 และแผ่นฟอกอากาศที่มีคุณสมบัติต่อต้านสารก่อภูมิแพ้ ที่ช่วยให้เราได้บรรยากาศที่เย็นฉ่ำ ไร้กังวลทั้งฝุ่นและปัญหาสุขภาพ พร้อมใช้เทคโนโลยี Inverter แท้ทั้งระบบที่ช่วยให้ประหยัดไฟได้มากกว่า รักษาอุณหภูมิได้คงที่มากกว่า หมดกังวลกับปัญหาเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว ช่วยสร้างสมาธิและไอเดียใหม่ๆ สู่การทำงานในภาวะ “Productivity Flow ได้ง่ายยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีรุ่น “AKI Series” และ “Fuyu Series” เครื่องปรับอากาศแบบ Inverter รุ่นพี่ ที่มาพร้อมกับฟังก์ชัน 3D Auto ที่ช่วยกระจายลมอัตโนมัติให้อุณหภูมิเท่ากันทั่วทุกมุมห้อง และนวัตกรรมที่ช่วยกรอง ฝุ่น PM 2.5 ป้องกันสารก่อภูมิแพ้ กัดจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ และยับยั้งการเติบโตของเชื้อราและกลิ่นอับชื้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ มั่นใจได้เลยว่าอยู่ตรงก็เย็นฉ่ำ ไร้กังวลเรื่องค่าไฟพุ่ง

เมื่อเลือกเครื่องปรับอากาศของ Mitsubishi Heavy Duty ก็มั่นใจได้เลยว่าจะได้สินค้าที่มีมาตรฐาน ไร้กังวลเรื่องค่าไฟ เพราะใช้เทคโนโลยี Inverter แท้ทั้งระบบในทุกๆ รุ่น โดยเฉพาะรุ่น Fuyu Series ที่มีการใช้ Motion Sensor เข้ามาช่วยในเรื่องของการประหยัดไฟ ทำให้เครื่องปรับอากาศ Mitsubishi Heavy Duty นั้นประหยัดไฟเบอร์ 5 สูงสุดถึงสามดาว เรียกได้ว่าประหยัดไฟได้มากกว่า รักษาอุณหภูมิได้คงที่มากกว่า 
และยังมาพร้อมฟังก์ชันที่จำเป็นอย่างมากในยุคนี้ อย่างประสิทธิภาพในการกรองฝุ่น PM 2.5 ป้องกันฝุ่นและสารก่อภูมิแพ้ ไม่ว่าจะอยู่ที่มุมไหนของห้องก็เย็นฉ่ำและให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอย่างไรอย่างนั้น

เพราะเครื่องปรับอากาศเป็นสินค้าที่ซื้อมาแล้วใช้ในระยะยาว เราจึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญทั้งคุณภาพและบริการหลังการขาย เชื่อว่า Mitsubishi Heavy Duty เป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานทุกประเภทอย่างแน่นอน และมั่นใจได้ทั้งคุณภาพและบริการที่ครอบคลุมและได้มาตรฐาน ครบ จบในที่เดียว เปิดทำงานทั้งวันได้อย่างไร้กังวล ส่งเสริมคุณภาพชีวิตและการทำงานให้ Productive ได้อย่างสบายกายและใจ

อ้างอิง:
https://bit.ly/3h0uOPd
https://bit.ly/3HdVI0M
https://bit.ly/3I6WLR3
https://bit.ly/3BADCVk

#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
#softskills