ตอนที่ผมยังเด็ก ผมเคยมีชุดความคิดอย่างหนึ่งที่เรียกได้ว่าเป็นชุดความคิดพื้นฐานของการทำงานเลย ซึ่งก็คือความคิดทำนองว่า ‘ขอแค่มีพลังใจและทุ่มเททุกอย่างแบบเต็มที่ เดี๋ยวงานก็จะออกมายอดเยี่ยมเอง’ ซึ่งในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตผมก็ทำแบบนั้นจริงๆ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่างานหลายอย่างจะออกมาดี แต่ผมพบว่ามันต้องแลกด้วยอะไรหลายอย่าง จนหลายครั้งก็กลับมานั่งคิดว่ามันคุ้มกันรึเปล่านะ
เมื่ออายุมากขึ้น ความคิดนี้ของผมก็ค่อยๆ เปลี่ยน ผมเริ่มเห็นว่าการใส่พลังใจและพลังกายอย่างเดียวไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องเสมอไป สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือต้องรู้ด้วยว่าจะใส่พลัง “ตอนไหน” และจะใส่“เพื่ออะไร”
ผมเปรียบเทียบเรื่องนี้กับการลดน้ำหนัก ผมเคยลดน้ำหนักด้วยการออกกำลังกายแบบบ้าคลั่ง กินอาหารแบบฟิตมากๆ ซึ่งแน่นอนว่าน้ำหนักก็ลดลง แต่มันไม่สามารถคงอยู่ในระยะยาวได้ พอพลังใจเริ่มเหือดหายน้ำหนักก็ขึ้นมาอีก ขึ้นมาเยอะกว่าตอนก่อนลดเสียด้วยซ้ำ
ดังนั้นการอาศัยแค่พลังใจและพลังกายอย่างเดียวเป็นเรื่องที่ไม่พอจริงๆ ครับ
สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ “ความรู้” และ “ความเข้าใจ” ซึ่งผมลองตกผลึกออกมาเป็นข้อๆ ได้ดังนี้ครับ
1) สิ่งแวดล้อม : ความสำเร็จของเราไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว (เช่น การลดน้ำหนัก) การจัดสิ่งแวดล้อมที่ดีนั้นสำคัญมากจริงๆ แต่ก่อนผมเคยคิดว่าสิ่งแวดล้อมคงมีส่วนนิดเดียว แต่แท้จริงแล้วมันมีส่วนอย่างต่ำๆ ก็ 50% เลยทีเดียว
สิ่งแวดล้อมที่ว่านี้คือคนและของซึ่งเราสามารถบริหารจัดการได้ แม้อาจจะไม่ใช่ทั้งหมดก็ตาม เช่น ถ้าเราต้องการเพิ่มพลังการโฟกัสในการทำงาน ให้เลือกอยู่กับกลุ่มคนที่พูดน้อย ถ้าเราต้องการจะผอม ให้อยู่กับเพื่อนที่ระวังเรื่องการกิน และถ้าเราต้องการเพิ่มความมั่งคั่ง ให้อยู่กับคนที่มีความรู้เรื่องการลงทุนเยอะๆ
ในทางกลับกัน ถ้าเราอยู่กับคนขี้นินทา เราก็จะกลายเป็นคนคิดลบและในที่สุดเรื่องลบๆ ก็จะกลับมาหาเรา ถ้าเราอยู่กับเพื่อนที่อยู่เพื่อกิน เราจะลดน้ำหนักยาก และถ้าเรารายล้อมด้วยนักชอปประเภท “ของมันต้องมี” โอกาสที่เราจะเก็บเงินสร้างความมั่งคั่งก็จะยากกว่า
สิ่งของก็เช่นกันครับ ถ้าตู้เย็นบ้านเรามีแต่ของอ้วนๆ แนวโน้มที่เราจะน้ำหนักขึ้นมีสูงมาก เคยมีการทดลองวางกระปุกใส่คุกกี้ช็อกโกแลตสองแบบไว้ที่โต้ะของพนักงานออฟฟิศ แบบหนึ่งเป็นกระปุกทึบ อีกอันเป็นกระปุกใส มีคุกกี้อยู่เท่ากันทั้งคู่ แต่ผลปรากฏว่าโต๊ะที่มีกระปุกแบบใสนั้นคนหยิบกินมากกว่าถึง 70%
หรือบางอย่างเป็นเรื่องง่ายๆ เช่น ถ้าเราพกหนังสือติดตัวตลอดเวลา โอกาสที่เราจะอ่านหนังสือได้เยอะขึ้นก็มีสูง
2) ความรู้ที่ถูกต้อง : เวลาเราจะเริ่มทำอะไรอย่างประหยัดเวลาและไปถูกทิศถูกทาง เราต้องพยายามหา “ความรู้” ติดกระเป๋าไว้ครับ อย่างการลดน้ำหนัก ถ้าทำด้วยความรู้ที่ถูกต้อง นอกจากจะไม่ใช้แรงเยอะแล้ว ยังไม่เสียสุขภาพอีกด้วย และไม่ต้องเสียเงินไปซื้ออาหารเสริมใดๆ ทั้งสิ้น เพราะอาหารจากธรรมชาติเพียงพออยู่แล้วถ้ากินเป็น นอกจากนี้ยังไม่ต้องโหมออกกำลังกายอย่างบ้าคลั่งด้วย ถ้าเข้าใจว่าต้องออกแค่ไหน ออกเมื่อไหร่ และออกอย่างไร
หลายครั้งเราลงมือทำโดยไม่หาความรู้ก่อนทำให้เสียเวลาลองผิดลองถูกในเรื่องบางเรื่อง ทั้งๆ ที่จริงแล้วมันเป็นเรื่องที่มีคนเคยลองผิดลองถูกและถ่ายทอดไว้แล้ว ดังนั้นก่อนจะเริ่มอะไรลองหาความรู้สักนิดหนึ่งครับ
ข้อนี้ผมคิดว่าคล้ายๆ การอ่านคู่มือรถนะครับ จริงอยู่ เราซื้อรถมาโดยไม่ต้องอ่านคู่มือเลยก็ขับได้ แต่ถ้าสละเวลาอ่านคู่มือสักหน่อย จะใช้งานรถได้คุ้มค่ามากขึ้นเยอะครับ
3) เรื่องอะไรที่ไม่เก่งให้คนอื่นทำ ส่วนเรื่องที่เก่งให้ฝึกให้เก่งยิ่งขึ้น : จากประสบการณ์การทำงานของผม เรื่องอะไรที่เราไม่ถนัด อย่าไปเสียเวลาทำครับ เพราะนอกจากเราจะทำได้ไม่ดีแล้ว หลายครั้งผลเสียจากเรื่องที่เราทำโดยไม่เข้าใจมันเยอะกว่าการไปจ้างมืออาชีพมาทำมากครับ ส่วนตัวผมถ้าเป็นเรื่องอย่างกฎหมาย ผมจะอาศัยมืออาชีพทั้งสิ้นเลย
4) การวัดผลต้องถูกต้อง : อย่างการลดน้ำหนัก ชื่ออาจจะบอกว่าลดน้ำหนัก แต่จริงๆ น้ำหนักเป็น เพียงหนึ่งในปัจจัยเท่านั้น จริงๆ แล้วเราอยากลดสัดส่วนและลดเปอร์เซ็นต์ Body Fat ด้วย เพราะฉะนั้นถ้าทำผิดทาง น้ำหนักอาจจะลดก็จริง แต่กล้ามเนื้อก็ลดไปด้วย กลายเป็น Skinny Fat ซึ่งยิ่งไปกันใหญ่
การทำธุรกิจก็เช่นกัน ถ้าจะมุ่งแต่ลด Cost อย่างเดียว แต่ดันไปกระทบกับจุดขายที่ลูกค้าชอบมากที่สุดของสินค้า แบบนี้อาจจะลด Cost ได้จริง แต่พังในระยะยาวก็ได้
5) แรงต้องใส่ให้ถูกที่ เพราะคนไม่ใช่เครื่องจักร : การไปใส่แรงในเรื่องที่ไม่ควรใส่นั้นทำให้เกิดผลลัพธ์ที่แย่ด้วยและเหนื่อยด้วย เปรียบเสมือนทีมฟุตบอล ที่นอกจากเราจะต้องใส่คนให้ถูกกับตำแหน่งแล้ว (เช่น กองหน้าก็ต้องเล่นกองหน้า กองหลังก็ต้องเล่นกองหลัง) เราต้องรู้ด้วยว่าคนของเราพัฒนาให้เก่งขึ้นได้ไหม ถ้าใช้เวลาฝึกฝนพอสมควรแล้วแต่ยังไม่พัฒนาไปไหนสักที บางทีก็ต้องปล่อยไปครับ
6) เวลา : เรื่องเวลาสำคัญมากจริงๆ ผมสังเกตตัวเองในตอนเขียนหนังสือและพบว่า ถ้าบังคับให้เขียน อย่างไรก็เขียนไม่ออก แต่ถ้ารอจังหวะของมัน เช่น หลังออกกำลังกายหรือวันที่นอนเยอะๆ ตัวอักษรจะไหลมาเอง ดังนั้นต้องคอยสังเกตตัวเองให้ดี อย่างของผม เวลาเช้ามืดก่อนเริ่มทำอะไรทุกอย่างคือช่วงเวลาที่ดีมากในการเขียนหนังสือ
ดังนั้นเวลาทำอะไรอย่าไปรีบร้อน ค่อยๆ ตั้งสติดีๆ ว่าเราอยู่บนเส้นทางที่ถูกหรือยัง ถ้าถูกแล้วให้ใจเย็นๆ และให้เชื่อใจใน Process เดี๋ยวมันจะดีเอง
7) Mindset ต้องถูกต้อง : เราอาจจะเคยได้ยินคำว่า “วิ่งแล้วกินอะไรก็ได้” ซึ่งเป็น Mindset ที่อันตรายมาก เพราะมันไม่จริงมากๆ นอกจากคุณจะวิ่งวันละหนึ่ง Full Marathon ถ้าแบบนั้นอาจจะพอไหว
เช่นเดียวกับการที่คิดว่าหาเงินได้เยอะแล้วจะใช้ได้เยอะ อันนี้ก็ผิดมหันต์เช่นกัน เพราะการหาเงินเก่ง กับการรักษาความมั่งคั่งนั้นเป็นคนละเรื่องกัน
Mindset แบบนี้ในที่ทำงานก็มีเยอะ เช่น “ดูคนนั้นสิ เขากลับบ้านสี่ทุ่มทุกวัน เขาเป็นคนขยันมากเลยเนอะ” ซึ่งเราก็รู้กันดีอยู่แล้วครับว่ามันไม่จริงเสมอไป
8) There’s no such thing as success , there are milestones : เมื่อน้ำหนัก สัดส่วนเปอร์เซ็นต์ไขมัน และรูปร่างเป็นแบบที่ต้องการแล้ว ถ้าเราสามารถรักษามันไปได้เรื่อยๆ จนถึง 10 ปีต่อจากนี้ เราจะเป็นอย่างไร
สำหรับผม การแข็งแรงตลอดชีวิตโดยมีช่วงเวลาที่ไม่แข็งแรงให้น้อยที่สุด ถือเป็น Milestone ที่ต้องทำตลอด
งานหรือองค์กรก็เหมือนกัน สมมติว่าเราอยากเป็นที่ 1 ของตลาดและเราทำได้แล้ว การรักษาที่ 1 ไว้ซึ่งยากกว่ามากก็น่าจะเป็น Milestone ที่น่าสนใจ เราเป็นที่ 1 ปีนี้ แล้วปีหน้าเราจะยังเป็นที่ 1 อยู่ไหม แล้วอีก 10 ปีจะทำยังไงให้เรายังคงเป็นที่ 1 อยู่ จะเห็นได้ว่าพวกนี้เป็น Work in Progress ส่วนการหยุดก็เป็น Milestone เช่นกัน เราสามารถกำหนดให้ตัวเองหยุดที่ Milestone ต่างๆ ได้
9) Cold Shower Mentality : บางทีเราต้องฝืนทำสิ่งที่เราไม่ชอบบ้าง เพราะมันจะทำให้สภาพจิตใจของเราแข็งแกร่งขึ้น การที่ผมอาบน้ำเย็นถือเป็นการเริ่มต้นวันที่ดีมากครับ เพราะมันทำให้เรื่องอื่นๆ ดูยากน้อยลง
ผมคิดว่าการปรับแนวคิดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ในชีวิต จะช่วยทำให้ชีวิตเราดีขึ้น “ทีละนิด” โดยไม่ต้องใส่แรงอะไรมากมายจริงๆ ครับ
#selfdevelopment
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast