ต้องออกตัวก่อนว่าผมเป็นคนไม่ชอบเล่นสกีครับ เพราะรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะกับตัวเองเท่าไร แต่เนื่องจากต้องพาลูกมาเล่นสกีเลยคิดว่าไหนๆ มาแล้วก็เล่นไปด้วยเลยแล้วกัน ตอนนี้ลูกผมเล่นสกีเก่งกว่าผมเยอะแล้ว แต่ด้วยความที่เขายังเด็กมาก จึงต้องไปเฝ้าอยู่ดี
ช่วงปลายปี 2022 ผมพาลูกไปที่ฮอกไกโดมาครับ โดยทริปนี้มีหลายวันและมากันหลายคนมาก
ทริปนี้จะเน้นเล่นสกีเป็นหลัก
เมืองที่สองที่เราเล่นชื่อฟุราโนะครับ ที่นี่ทุกอย่างดีหมดเลยครับ เว้นแต่ว่าการแบ่งโซนตามระดับความยากง่ายอย่างโซนสีเขียวซึ่งถือว่าง่ายสุด และสีฟ้าซึ่งถือว่าง่ายรองลงมามีความงุนงงพอสมควร โดยผมได้ปรึกษาเพื่อนที่มาด้วยกันที่เขาเล่นเก่งมากแล้ว เขาก็บอกว่า “เออ… การแบ่งที่นี่งงจริง”
คือสีฟ้าบางอันควรเป็นสีเขียว สีเขียวบางอันควรเป็นสีฟ้า หรือสีฟ้าบางอันน่าจะเป็นสีแดงด้วยซ้ำ
แต่ก็อย่างว่าครับ เรื่องจำพวกนี้ไม่ได้มีกฎเกณฑ์ชัดเจนมาก
แถวที่เราขึ้นไปเล่นก็เป็นโซนสีฟ้า-สีเขียวที่อยู่สูงหน่อย
เพื่อนๆ ผมก็ชวนนั่งกระเช้าไปขึ้นยอดเขา ซึ่งตอนนั้นไม่มีเวลาคิดเยอะเพราะกระเช้ากำลังจะปิดตอน 15.10 น. แล้วตอนที่เราอยู่ตรงทางขึ้นของกระเช้าก็ประมาณ 15.05 น. แล้ว ผมก็เลยตัดสินใจขึ้นไปกับเพื่อนด้วยซึ่งตอนนี้ลูกๆ ไม่ได้มาด้วย มีแต่พวกพ่อๆ ขึ้นมากัน เส้นทางที่ขึ้นมาต้องบอกว่าระดับความยากเกินความสามารถของผมไปเยอะเหมือนกัน
ขนาดเพื่อนผมที่ว่าเล่นกันเก่งๆ แล้วยังว่ายากเลยครับ
ต้องบอกว่าเพื่อนๆ ผมเนี่ย เล่นสกีกันค่อนข้างเก่งแล้ว และผมก็คิดว่าการมีเพื่อนเก่งๆ น่าจะไม่เป็นไร เพราะถ้ามันยากจริงๆ จะได้มีคนช่วยเหลือ
ซึ่งในความจริงแล้ว เพื่อนที่เล่นเก่งก็ยังอยู่ในระดับที่ดูแลตัวเองได้ แต่ยังมาช่วยเรามากไม่ได้ถ้าทางมันโหดจริงนะครับ เพราะเพื่อนเราไม่ใช่ผู้สอนสกี
การขึ้นมาบนภูเขาครั้งนี้ได้สอนอะไรผมเยอะมากจริงๆ ครับ
พอจากกระเช้ามาแล้วชะโงกหน้าไป ผมถึงกับขนลุกแล้วคิดในใจว่า “ทำไมเราถึงตัดสินใจขึ้นมานะ” ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่ชัดเจน รุนแรง และเข้มข้นมาก จะว่าไปมันเหมือนกับตอนที่ต้องตัดสินใจอะไรยากๆ ในการทำงานเลยครับ เป็นความรู้สึกเดียวกันเป๊ะ
ความรู้สึกแบบนี้เป็นความรู้สึกที่คล้ายๆ กับที่พี่โจ้ ธนา เคยพูดไว้ว่า “แผนที่ใช่ ใจต้องสั่น” มันเป็นความรู้สึกว่า “กลัว” แต่คิดว่าน่าจะ “เอาอยู่”
การสร้างความเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ ผมคิดว่าเราต้องรับรู้และเข้าใจความรู้สึก “ใจสั่น” นี้ให้ได้ และถ้าคิดว่ามันใช่ก็ลุยเลยครับ
แต่ถ้าทำแล้วไม่เวิร์กล่ะ?
เราก็ต้องมีแผนสำรองไว้เสมอ และต้องรู้ด้วยว่าเมื่อไรจะต้องใช้มัน
ตอนสกีลงมามันมีเนินที่ชันมากจริงๆ ผมไม่ได้วัดด้วยสายตา แต่เพราะว่ามีจังหวะหนึ่งที่ผมบังคับทิศทางไม่ได้อย่างที่ตั้งใจและเกือบจะชนเพื่อนผมเข้าเต็มๆ นั่นเป็นสัญญาณว่าเราเอา “ไม่อยู่” แล้ว
แผนสำรองของผมก็คือ ถอดสกี แล้วเอาก้นไถๆ ลงมาครับ พอผ่านจุดที่ชันมากๆ ซึ่งจริงๆ มันก็แค่เนินนั้นเนินเดียว ผมก็ใส่สกีแล้วเล่นต่อ
การทำงานก็เป็นแบบนี้เลยครับ เราทำเต็มที่ตามแผนที่เราวางมาแต่ก็ต้องมีแผนสำรองด้วยว่าจะเอายังไง แล้วอะไรเป็นตัวกระตุ้นให้เราใช้แผนสำรอง อันนี้ควรคิดไว้ก่อนเลย ซึ่งก็เหมือนกับตอนนั้นที่ผมคิดแล้วว่าถ้าผมบังคับทิศทางไม่ได้ ก็แปลว่าต้องเปลี่ยนสิ่งที่ทำอยู่แล้ว
อีกเรื่องที่ได้เรียนรู้มาจากคลาสที่ครูสอนวันแรกที่ไปถึง (เสียดายที่ตอนขึ้นมาเล่นอันยากๆ ไม่ได้เอาครูมาด้วย) คือ “บางสิ่งบางอย่างที่ต้องทำจะฝืนความรู้สึกหน่อย”
สำหรับมือใหม่เช่นผม ทางที่ชันและเนินที่ขรุขระจะสร้างความหวาดเสียวให้เราได้มากเป็นพิเศษ และแน่นอนเรามักทำอะไรผิดจากสิ่งที่ควรจะทำ ซึ่งมันก็เกิดขึ้นเพราะความกลัวนี่แหละครับ
เช่น เรื่องการถ่ายน้ำหนัก ปกติถ้าเป็นมือใหม่แล้วสกีเริ่มเร็ว เราจะเอียงตัวมาด้านตรงข้ามกับทางลงเขา และจะเอนตัวมาข้างหลังด้วย อย่างเช่นถ้าตอนนี้เลี้ยวขวาอยู่เราจะเอียงตัวมาทางซ้าย เพราะสมองเราคิดว่าเขาทางซ้ายใกล้กว่า ถ้าล้มน่าจะดีกว่าล้มไปทางขวาซึ่งเป็นทางลงแน่ แต่จริงๆ แล้วทั้งการเอนมาทางขึ้นเขาและเอนหลังอย่างที่กล่าวมา สุดท้ายแล้วเราก็จะล้ม เพราะจริงๆ เราต้องถ่ายน้ำหนักไปทางลงเขา และโน้มตัวไปข้างหน้าถึงจะควบคุมสกีได้
อันนี้ครูที่สอนสกีผมบอกเลยว่าเรื่องนี้ “จะฝืนความรู้สึก” แต่สำหรับมือใหม่เวลาสกีเร็วต้องเตือนตัวเองให้ถ่ายน้ำหนักไปทางลงเขาด้านหน้า หรือตรงข้ามกับทางที่เรารู้สึกว่าควรทำ
“ตรงกันข้ามกับที่เรารู้สึกว่าควรทำ” คือกุญแจสำคัญของเรื่องนี้ครับ เพราะว่าหลายครั้งในการทำงานเราจะกลัวหลายอย่างไปหมดจนลืมไปว่าจริงๆ แล้ววิสัยทัศน์ของเราคืออะไร อะไรคือสิ่งที่เป็นคุณค่าขององค์กรเรา และอะไรที่มันไม่ใช่มากๆ ก็จะไม่สามารถอยู่ในองค์กรของเราได้ เป็นต้น
สุดท้ายคือสกีเนี่ยถ้าคุณขึ้นไปบนเขาแล้ว ยังไงคุณก็ต้องลงมา จะมาท่าไหนยังไงก็ต้องลงมา ดังนั้นทำไมไม่ลองใส่ความเป็นเด็กเข้าไปในการเล่นบ้าง
เด็กๆ ส่วนใหญ่เล่นสกีเป็นเร็วมาก และหลายคนเล่นไม่กี่ครั้งก็เก่งกว่าผู้ใหญ่โดยเฉลี่ยแล้ว อาจจะเป็นเพราะน้ำหนักน้อยด้วยส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งคือเขาสนุกและไม่กลัวครับ เมื่อล้มก็หัวเราะแล้วลุกขึ้นมาใหม่
การทำงานบางทีเราก็ต้องเอาจิตวิญญาณเช่นนี้ทำเหมือนกันครับ คือสนุกกับการทำงาน และที่สำคัญคือล้มก็ล้มไม่เป็นไร หัวเราะกับมันแล้วลุกขึ้นใหม่ได้
หลังจากลงมาจากภูเขาได้ ก็รู้สึกเลยว่าตัวเองได้อัปเลเวลไปอีกขั้นจริงๆ
แต่คราวหน้าถ้าจะไปแบบนี้ ขอเอาครูไปด้วยนะ!
#selfdevelopment
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast