self developmentเพราะโลกนี้เสียงดังเกินไป

เพราะโลกนี้เสียงดังเกินไป

เสียงดังที่ว่านี้อาจจะไม่สามารถใช้หูฟังแบบ Active Noise Cancellation มาแก้ปัญหาได้นะครับ เพราะเมื่อพูดถึงเสียงดัง จริงๆ มันคือ “สิ่งรบกวน” และ “สิ่งเร้า” ที่มากเกินไปต่างหาก

เสียงดังนี้ยังอยู่แม้เราจะอยู่คนเดียว เราถูกถล่มด้วย Notifications แบบไม่รู้จบ และเราถูกคาดหวังว่าจะต้องมีโน่นมีนี่ หรืออายุเท่านี้ เราต้องเก่ง ต้องหุ่นดี ต้องรวย ต้องสารพัด

ในโลกที่เคลื่อนที่เร็วขนาดนี้และเคลื่อนที่แบบไม่รู้ว่าจะพาเราไปถูกทางไหม ผมเชื่อว่าเราต้องมีทั้งเวลาที่เราต้องเร็วตามโลก และเวลาที่เราต้อง “สงบนิ่ง” เพื่อคิดทบทวนและหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อจัดการกับสถานการณ์นั้นๆ ด้วย

ผมมักนึกถึงเรื่องนี้เวลาที่นั่งสมาธิสัก 15-20 นาที และเกิดคำถามว่าทำไมการบังคับตัวเองให้นั่งสมาธิมันยากจัง

ทำให้ตกผลึกได้ว่าจริงๆ ที่ยากไม่ใช่เพราะเราไม่มีเวลา 15-20 นาทีหรอก แต่เป็นเพราะว่าชีวิตเราไม่ค่อยได้กดปุ่ม Pause เลยต่างหาก การนั่งสมาธิซึ่งเป็นการ Pause รูปแบบหนึ่งเลยทำให้เรารู้สึกอึดอัด

ส่วนตัวผมคิดว่า นี่คือหนึ่งสัญญาณที่บอกว่าชีวิตของเราทุกวันนี้มัน Overload จนเกินไป และเราอาจจะไม่สามารถอยู่กับปัจจุบันได้ เพราะคิดถึงอดีตและกังวลเกี่ยวกับอนาคตมากเกินไปรึเปล่า

จริงๆ ที่ว่าโลกเราเสียงดังเกินไปนั้น เป็นเพราะมุมมองของเราเองด้วยครับ คำว่า “โลก” ของเรานั้นไม่ใช่โลกสีน้ำเงินอันกว้างใหญ่ใบนี้ แต่มันคือโลกที่เรามองผ่านประสบการณ์ของเราต่างหาก

แล้วเราจะลดเสียงอันดังของโลกลงได้ไหม?

ณ เกาะไซปรัส เมื่อ 300 ปีก่อนคริสตกาล มีพ่อค้าที่ร่ำรวยคนหนึ่งชื่อว่า “ซีโน”

ในขณะที่ซีโนกำลังล่องเรือจากเมืองฟีนีเชียไปสู่เมืองพิเรอัส เรือของเขาก็ได้จมลงไปพร้อมกับสินค้าทั้งหมด ชายผู้มั่งคั่งคนนี้ได้กลายเป็นคนยากไร้ในทันที

ลองจินตนาการว่าตัวคุณเป็นซีโนดูสิครับ คุณจะทำอย่างไรถ้าเกิดว่าอยู่มาวันหนึ่ง งานและความสำเร็จที่คุณเคยทำมาทั้งหมดนั้น ต้องมลายหายไปในพริบตา ด้วยปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ไม่มีใครควบคุมได้แบบนี้

สำหรับคนทั่วๆ ไปถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้ เราก็คงมีความรู้สึกโกรธแค้น ผิดหวัง หรือน้อยใจในโชคชะตาใช่ไหมครับ แต่สำหรับตัวซีโน เขากลับพยายามมองหาเส้นทางความคิดที่แตกต่างกันออกไป แม้เขาจะสูญเสียทุกอย่าง เขาตั้งมั่นว่าจะไม่มีวันยอมสูญเสียตัวตน

หลังจากที่รอดชีวิตมาได้ ซีโนเดินทางไปยังกรุงเอเธนส์และได้พบกับการศึกษาศาสตร์ด้านปรัชญาที่เปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล เขาได้ก่อตั้งสำนักคิดและมีสานุศิษย์อยู่จำนวนหนึ่ง

ปรัชญาที่เขาค้นพบและตกผลึกมีรากฐานที่น่าค้นหา ด้วยการพยายามแบ่งแยกความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เรา “ควบคุมได้” กับ “ควบคุมไม่ได้” ออกจากกัน เพื่อเข้าถึงความหมายของการมีชีวิต

ต่อมาปรัชญาสายนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ “สโตอิก” (Stoicism)

สำหรับแกนหลักของปรัชญาสโตอิกนั้น ซีโนได้บอกว่า ถึงแม้เราจะไม่มีอำนาจในการควบคุมสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราได้มากนัก แต่เราทุกคนนั้นมีอำนาจที่จะควบคุมได้ว่ามันส่งผลกระทบต่อเราอย่างไร และเราต้องใช้อำนาจดังกล่าวนี้เปลี่ยนมุมมองของเราต่อเหตุการณ์ร้ายๆ ให้กลายเป็นบทเรียนดีๆ ให้ได้

ซึ่งในทุกวันนี้นะครับ คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจคนที่มีแนวคิดแบบสโตอิกว่าเป็นคนที่มีจิตใจแข็งแกร่ง เป็นคนที่ไม่โกรธ ไม่เศร้า หรือไม่ตื่นเต้น พูดง่ายๆ ก็คือไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมาเท่าไรนัก

แต่อันที่จริงแล้วแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังปรัชญาสโตอิกนั้นล้ำลึกกว่านั้นมาก

ปรัชญาสโตอิกเป็นวิธีการมอง อธิบาย และทำความเข้าใจโลก ที่ช่วยให้เรารับมือกับประสบการณ์เลวร้ายต่างๆ ในชีวิตของเราด้วยความสงบ เรียกได้ว่าเป็นการเปิดรับมุมมองใหม่ๆ ต่อโลกที่เราอาจไม่เคยมองเห็นมาก่อนนั่นเองครับ

พวกเราล้วนเคยประสบปัญหาด้านการจัดการอารมณ์ของตัวเอง โดยอารมณ์ของเรามักจะเป็นสิ่งที่เข้ามามีอิทธิพลกับเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิต เวลามีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับตัวเรา คนส่วนใหญ่ก็มักจะยอมให้อารมณ์ของตัวเอง มีส่วนในการรับมือกับเหตุการณ์นั้นๆ มากเกินไป ยกตัวอย่างเช่น เวลาเราบังเอิญไปอยู่ท่ามกลางสายฝนโดยที่ไม่มีร่มนั้น เราก็อาจจะรู้สึกเซ็งและอารมณ์เสียที่ตัวเองต้องตัวเปียกโชก ของที่เราถืออยู่ก็ต้องเปียกไปด้วย

ซึ่งจะว่าไปมันเป็นมุมมองที่ถูกจริงหรือ

แต่ถ้าเกิดเราลองมองเหตุการณ์นี้ใหม่ว่า การที่ฝนตกมันเป็นเรื่องธรรมชาติที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เราไม่สามารถควบคุมสภาพอากาศได้ แม้ว่ามันจะแย่ในช่วงเวลานี้ แต่สุดท้ายฝนก็จะหยุดไป ซึ่งนี่คือสิ่งที่แนวคิดสโตอิกพยายามจะสอนเรา ว่าเราควรคาดหวังและเตรียมใจเอาไว้ว่าเรื่องเลวร้ายนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกสถานการณ์ และสุดท้ายเราก็จะผ่านมันไปได้นั่นเอง

ที่น่าสนใจคือ แนวคิดแบบสโตอิกมีแบบฝึกหัดที่ช่วยขัดเกลาให้เราสามารถรับมือกับเรื่องเลวร้ายต่างๆ ของชีวิตด้วยนะครับ โดยแบบฝึกหัดนี้มีชื่อว่า “Voluntary Discomfort อึดอัดอย่างสมัครใจ” ซึ่งเป็นแบบฝึกหัดที่อยากให้เราเพิ่มความรู้สึกซาบซึ้งใจในชีวิตของเรา โดยการให้เราลองทำสิ่งต่างๆ ที่ลดความสะดวกสบายในชีวิตลง เช่น การนอนบนพื้นห้องแข็งๆ อาบน้ำด้วยน้ำที่เย็นยะเยือก หรือไม่กินอาหารเลยสองวัน (Fasting) เป็นต้น

โดยแบบฝึกหัดนี้จะช่วยให้เราเข้าใจว่า ไม่ว่าชีวิตดูจะยากลำบากแค่ไหน เราก็ยังอยู่รอดและเติบโตได้หากมี “ทัศนคติ” ที่ถูกต้อง ซึ่งการที่เราสามารถทนต่อสถานการณ์ที่ไม่สบายใจเหล่านี้ได้นั้น เท่ากับว่าเราได้เตรียมจิตใจของเราโดยทางอ้อมสำหรับความโชคร้ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตแล้วนะครับ

สังคมปัจจุบันมักจะใช้สื่อต่างๆ มากมายเพื่อชี้นำความคิดของผู้คน สังคมมักชอบบอกเราว่าถ้าหากเราไม่ได้เป็นเจ้าของสิ่งของบางอย่าง มีรูปร่างหน้าตาในแบบที่สังคมชื่นชอบ หรือหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำแล้วละก็ เราก็จะไม่มีทางค้นพบความสุขได้เลย ซึ่งมันทำให้พวกเราอาจจะกำลังตั้งความหวังลมๆ แล้งๆ ขึ้นมาในชีวิตอย่างไม่รู้ตัวก็ได้

คนส่วนใหญ่ชอบที่จะเอาคุณค่าของตัวเองไปยึดติดกับสิ่งของหรือวัตถุภายนอก เราทุ่มเงินทั้งหมดไปกับรถหรู บ้าน หรือแม้แต่การสร้างครอบครัว บางครั้งเราทำสิ่งเหล่านี้เพื่อคุณค่าภายนอก ไม่ใช่คุณค่าภายใน แต่แนวคิดสโตอิกสอนว่า ถ้าคุณเข้าใกล้ชีวิตด้วยวิธีนี้ แสดงว่าคุณมอบความสุขไว้ในมือของพลังภายนอก ซึ่งเป็นพลังที่สามารถล้มเหลวได้เสมอ

เพราะไม่ว่าเราต้องการอะไร ท้ายที่สุดแล้ว เราไม่สามารถควบคุมสิ่งต่างๆ ส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นกับเราได้ แต่เราสามารถควบคุมวิธีที่เราตอบสนองต่อสิ่งเหล่านั้นได้ ซึ่งแนวคิดนี้คือหลักการที่สำคัญที่สุดในปรัชญาสโตอิกนั่นเองครับ

สโตอิกสอนว่าเราต้องเรียนรู้ที่จะแยก “สิ่งที่เราควบคุม” ได้ออกจาก “สิ่งที่เราควบคุมไม่ได้” เราต้องไม่กำหนดคุณค่าของเราจากสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ แต่กำหนดจากสิ่งที่เราทำได้ การตั้งใจมุ่งหน้าสู่เป้าหมายที่เราตั้งเอาไว้คือสิ่งที่ดี เราไม่ควรปล่อยให้จิตใจของเราแตกสลายลง เมื่อชีวิตของเราไม่ได้เป็นไปตามที่ต้องการ

ปรัชญาของสโตอิกนั้นมีค่านิยมอยู่ 4 ประการ 1. ปัญญา 2. ความกล้าหาญ 3. ความพอประมาณ และ 4. ความยุติธรรม

ปัญญา คือความสามารถในการแยกแยะระหว่างปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน รวมถึงความสามารถในการเลือกแสดงความรู้สึกของเราต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา

ความกล้าหาญ คือการมีความกล้าหาญที่จะ “ยืนหยัดและต่อต้าน” อุปสรรคต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิตของเรา

ความพอประมาณ คือทำให้มากขึ้นโดยใช้เวลาน้อยลง พูดมากขึ้นด้วยคำพูดน้อยลง มีความสุขให้มากขึ้นด้วยความมั่งคั่งที่น้อยลง เพราะสโตอิกเชื่อว่าขีดจำกัดของความมั่งคั่งควรอยู่ที่การมีสิ่งที่จำเป็นเพียงเท่านั้น

ความยุติธรรม คือสิ่งสำคัญที่สุดในบรรดาคุณธรรมทั้งหมด โดยความยุติธรรมสอนให้เรารู้ว่าไม่ควรทำร้ายใคร เพราะเราเกิดมาเพื่อกันและกัน ทำดีต่อกันเข้าไว้ และไม่เห็นแก่ตัว

ผมขอยกตัวอย่างเรื่องราวของ เนลสัน แมนเดลา นะครับ หนึ่งในผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก โดยในขณะที่เขาต่อสู้กับการเหยียดผิว เขาถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตและถูกจำคุกเป็นเวลา 27 ปีก่อนที่จะได้รับการปล่อยตัวในที่สุด

เมื่อเขาได้รับการปล่อยตัวจากคุก เขาได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีของแอฟริกาใต้ หลายคนคิดว่าเขาจะลงโทษทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเหยียดผิวหรือทำไม่ดีต่อเขา แต่แน่นอนว่า เนลสัน แมนเดลา ไม่ได้เลือกที่จะทำอย่างนั้นครับ เขาเลือกเส้นทางที่เป็น High Road ซึ่งก็คือทำตรงกันข้ามกับที่คนส่วนใหญ่คิดเลย

ตลอดเวลาที่อยู่ในคุก เนลสันอ่านงานของมาร์กุส เอาเรลิอุส และได้เรียนรู้ค่านิยมหลักของปรัชญาสโตอิก ซึ่งกลายมาเป็นหลักธรรมที่เขายึดถือตลอดชีวิต แทนที่จะเรียกร้องหาตัวหัวหน้าผู้กระทำผิด เนลสันกลับเรียกร้องให้คนของเขาแสวงหาสิ่งที่ตรงกันข้าม เขาเลือกที่จะให้อภัย เลือกที่จะลืม เพื่อสร้างบรรยากาศผ่อนคลายและสร้างสายสัมพันธ์ใหม่ขึ้นมาแทน เขาย้ำว่าอดีตอยู่เหนือการควบคุมของพวกเขา และสิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้คือหาทางก้าวไปข้างหน้าและสร้างประเทศที่ดีขึ้น นี่คือแนวทางของสโตอิกอย่างแท้จริง

เพื่อแก้ไขปัญหาของเราอย่างมีความสุข เราต้องทำตัวให้มีค่า จงนิยามคุณค่าของตัวเราจากสิ่งที่เราสามารถควบคุมได้ เลิกยึดติดกับสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ แล้วเราจะสามารถมีชีวิตที่มีความสุขและอิ่มเอมได้มากขึ้น

บางทีแนวคิดแบบนี้แหละครับที่จะมาลดเสียงอันดังของโลกลงได้

เพราะทุกวันนี้ความเงียบช่างเป็นความหรูหราชั้นยอดของชีวิตจริงๆ เหมือนดังคำพูดที่ นโปเลียน โบนาปาร์ต เคยกล่าวไว้ว่า

The best cure for the body is a quiet mind.

#selfdevelopment
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast

Advertisements
Advertisements

LASTEST ARTICLES

LASTEST PODCAST

Mission To The Moon
Mission To The Moon
พื้นที่ที่สร้างขึ้นเพื่อแบ่งบันเรื่องราวเกี่ยวกับการทำธุรกิจ การตลาด แรงบันดาลใจ และข้อคิดในการใช้ชีวิต

POPULAR ARTICLES

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่มีความจำเป็น (Strictly Necessary Cookies)
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้งานและเข้าชมเว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้ อย่างไรก็ตาม คุณสามารถบล็อคการใช้งานคุกกี้ได้จากเบราว์เซอร์ที่ใช้งาน ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบกับการใช้งานเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้สำหรับการวิเคราะห์และวัดผลการทำงาน (Performance Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

บันทึกการตั้งค่า