- บริษัทส่วนมากมีการตั้งงบวิจัยและพัฒนา (R&D) คำถามคือในฐานะบุคคลเราควรจะต้องทำ R&D ด้วยไหม ตอบได้เลยว่าควรมากๆ มาดูสิ่งที่เราควร R&D ให้ตัวเองกัน
- R&D เรื่องสไตล์การทำงาน: ว่าจะพัฒนาปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้นได้อย่างไร
- R&D เรื่องวิถีชีวิต: ถ้าปกติเป็นคนนอนดึก อาจลองเปลี่ยนมานอนเร็วดูบ้าง
- R&D เรื่องเวลาว่าง: ลองทำกิจกรรมที่คิดว่าชอบ และทำให้ติดต่อกันสักระยะหนึ่ง
- R&D เรื่องครอบครัว: คุณใช้เวลากับครอบครัวน้อยไปหรือเปล่า
- R&D เรื่องความฝัน: ชอบงานที่ทำอยู่หรือเปล่า อะไรคือสิ่งที่คุณอยากทำ
ในองค์กรต่างๆ เรื่องที่มักถูกยกขึ้นมาพูดบ่อยๆ คือเรื่องของการทำวิจัยและพัฒนา (Research and Development) เพื่อมุ่งหาสินค้า บริการ นวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งเป็นส่วนที่เราให้ความสำคัญมากทีเดียว
คำถามเวลาผมถูกสัมภาษณ์ที่เจอบ่อยมากคำถามหนึ่งคือ “ปีนี้จะตั้งงบประมาณค่าวิจัยและพัฒนากี่เปอร์เซนต์ของรายได้?” เพราะค่าเปอร์เซนต์ตัวนี้จะเป็นตัวชี้วัดอะไรบางอย่างได้ เรามักมีความเชื่อกันว่าประเทศที่ใช้เงินเป็นเปอร์เซนต์สูงๆ เทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) ไปกับการทำวิจัยและพัฒนา มักจะมีนวัตกรรมเยอะกว่าประเทศที่ตัวเลขเปอร์เซนต์ต่ำ
ผมก็ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง แล้วตัวเราเองล่ะ ต้องมีวิจัยและพัฒนาไหม?
เราในฐานะบุคคลต้องทำวิจัยและพัฒนาแล้วต้องมีนวัตกรรมบ้างหรือเปล่า? คำตอบคือต้องมีแน่นอนครับ
เพียงแต่ว่าชีวิตวันหนึ่งมันยุ่งเหยิงไปกับภารกิจต่างๆมากมาย จนบางทีมันเหนื่อยล้าเกินกว่าที่จะมาคิดเรื่องนี้ แต่ถ้าเราอยากก้าวหน้าเหมือนที่บริษัทอยากก้าวหน้า หรือประเทศอยากก้าวหน้า เราลองมาพัฒนาแผนกวิจัยและพัฒนา (R&D) ส่วนตัวของเราบ้างดีไหมครับ
การทำ R&D หลักๆ แล้วต้องมีการทดลองและการวัดผลที่ดี ทำอะไรบ้างดี ?
R&D เรื่องสไตล์การทำงาน
การลองเปลี่ยนวิธีการทำงานของเราดูบ้าง แล้ววัดผลดูว่าการทำงานแบบนี้ทำให้ผลงานที่ออกมาดีขึ้นหรือแย่ลง ยกตัวอย่างเช่น ลองเปลี่ยนสไตล์การทำงานจาก ถ้าปกติเราเป็นคนไม่ชอบคุยกับคน ทำงานทุกอย่างผ่านอีเมล ลองทดลองดูว่าต่อจากนี้สามเดือน เมื่อมีเรื่องอะไรต้องคุยกับเพื่อนร่วมงานหรือคนภายนอก เราจะเริ่มที่การยกหูโทรศัพท์โทรหาเขาก่อน ลองดูว่าทำแบบนี้แล้วผลงานของเราจะดีขึ้นหรือเปล่า บางทีมันอาจจะทำให้คุณประหลาดใจเลยก็ได้
R&D เรื่องวิถีชีวิต
ถ้าปกติคุณเป็นคนนอนดึกตื่นสายจนเป็นนิสัย ลองเปลี่ยนมานอนเร็วดูบ้าง นอนไม่หลับก็ช่างมัน แต่พอถึงเวลาต้องตื่น ก็ตื่นแล้วหาอะไรทำเป็นกิจกรรมทุกวัน เช่น ออกไปวิ่ง ลองทำดูสักเดือนเดียวคงไม่หนักหนาสาหัสเกินไป
ถ้าคุณลองแล้วคุณรู้สึกไม่ชอบไลฟ์สไตล์นี้ของคุณ ก็กลับไปนอนดึกตื่นสายเหมือนเดิมก็ได้ แต่อย่างน้อยเราก็ได้ทดลองแล้วว่าแนวตื่นเช้านี่ไม่ใช่ทางของเราจริงๆ
R&D เรื่องเวลาว่าง
อันนี้อาจจะเป็นอันที่ง่ายที่สุดแล้ว ลองทำกิจกรรมที่คุณคิดว่าคุณน่าจะชอบ แล้วลองทำให้ติดต่อกันสักระยะหนึ่ง จุดสำคัญคือเริ่มทำให้ได้
อย่างส่วนตัวผมก็ลองอะไรมาหลายอย่างมากๆ วาดรูปก็ลองแล้ว ดนตรีก็ลองแล้ว ต่อโมเดลก็ลองแล้ว จนกระทั่งมาค้นพบตัวเองว่าเป็นคนชอบเขียน ตอนนี้ก็เลยเขียนอะไรเต็มไปหมด ทั้งเพจ Mission to the Moon หนังสือ แล้วก็คอลัมน์ตามนิตยสารต่างๆ ด้วย นอกจากผมจะค้นพบว่าผมสนุกที่ได้เขียนแล้ว ผมยังได้รายได้จากการเขียน และยังช่วยเป็นการทำการสร้างแบรนด์บุคคล (personal branding) ขายของของที่บริษัทได้อีกด้วย เรียกว่างานอดิเรกนี้ได้ประโยชน์สามต่อเลย
R&D เรื่องครอบครัว
เวลากับครอบครัวเป็นของที่หายากขึ้นทุกที เพราะฉะนั้นเราต้องลองเปลี่ยนอะไรบางอย่างเพื่อทำให้เวลากับครอบครัวมีค่ามากขึ้น เช่น ถ้าลองหาเวลาคุยกับพ่อแม่สักวันละ 15 นาทีทุกวันคุยเรื่องอะไรก็ได้ ถ้าไม่เจอหน้าก็ขอให้โทรศัพท์ แต่ขอให้ทำได้ทุกวัน บางทีคุณอาจจะค้นพบความสุขคืออะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ใกล้ตัวมากเลยก็ได้
R&D เรื่องความฝัน
เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญสุดเลยก็ว่าได้ ผมถามตัวเองเสมอว่างานที่เราทำอยู่ตอนนี้เป็นงานที่เราชอบหรือยัง และจะมีอะไรที่เราอยากทำมากกว่านี้อีกไหม แล้วผมก็พยายามจะหาเวลาลองทำมันดู คุณเชื่อไหมครับว่ามันมี
อย่างตัวผมเอง ผมรู้สึกสนุกและมีพลังมากเวลาได้ออกไปบรรยายให้ผู้คนฟัง ทำให้ผมมานั่งคิดว่าถ้าเราสร้างธุรกิจให้มั่นคง หาความสำเร็จได้แล้ว ผมคิดว่าผมอยากจะไปสอนหนังสือ หรือทำอะไรที่เกี่ยวกับวงการการศึกษา คิดว่านั่นคือสิ่งที่อยากทำที่สุด พอรู้แบบนี้แล้วผมก็จะได้วางแผนระยะยาว 5 ปี 10 ปี ของผมได้ เพราะการตามหาความฝัน ต้องใช้แรงและเวลาในการ R&D เยอะเลยล่ะกว่าจะเจอ
ถ้าใครรู้สึกว่าชีวิตช่วงนี้ฝืดๆอยู่ อ่านเสร็จแล้วอย่าลืมไปปัดฝุ่นแผนก R&D ส่วนตัวของคุณให้กลับมาทำงานอีกครั้งนะครับ