เวลาใครมาที่โต๊ะทำงานผมแล้วสังเกตดีๆ จะเห็นป้ายที่ทำจากทองเหลืองอย่างดีที่เขียนว่า
“shut up / listen / ask questions”
แต่ถ้าไม่สังเกตจะไม่เห็นครับ เพราะว่าป้ายนี้ผมไม่ได้เอาไว้ให้คนอื่นอ่าน ผมเอาไว้ให้ตัวเองอ่าน มันจึงหันหน้ามาด้านผมคนเดียว
อันนี้เป็นหนึ่งในเทคนิคความพยายามของผมในการปรับปรุง Character ในการเป็นหัวหน้าของผมเอง
มันเป็นยังไงเดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง
.
.
ในช่วงประมาณปีที่ผ่านมา ถ้าผมจะสรุปบทเรียนที่สำคัญสักอย่างหนึ่ง ผมคิดว่าคงจะเป็นเรื่องที่ว่าการเป็นผู้นำที่ดีนั้นต้องมี Energy เยอะๆ และการจะมี Energy เยอะๆ ได้ เราต้องมี High Energy Lifestyle
ในโครงการ IMETMAX ผมโชคดีมากที่มีโอกาสได้พี่จูน จรีพร CEO, WHA Corporation เป็น Mentor
หนึ่งในสิ่งที่พี่จูนบอกพวกเราเสมอๆ คือเวลาที่พี่จูนหวงแหนมากคือตอนเช้า เพราะจะเป็นเวลาในการออกกำลังกายของพี่จูน เป็นการเติมแบตเตอรี่ให้กับชีวิต
ในช่วงหลังที่ผมได้เจอกับผู้บริหารระดับท็อปของประเทศหลายคน ผมพบว่าสิ่งที่น่าสนใจนอกเหนือจากความเก่งของพวกเขาแล้ว คือ Lifestyle ของเขานี่แหละครับ คนเหล่านี้แทบทุกคนมีสิ่งที่ผมเรียกว่า High Energy Lifestyle ทั้งสิ้น
ผมค่อยๆ ศึกษาจากการสอบถาม การอ่าน และการลองกับตัวเอง ผมพบว่า High Energy Lifestyle มีส่วนประกอบร่วมกันที่น่าสนใจ
.
.
เรื่องแรกคือ Basic Hygiene ที่ต้องทำได้คือการนอน กิน ออกกำลังกาย โดยเฉพาะเรื่องการนอน ถ้าหากว่าคุณเป็นคนที่มีปัญหาเรื่องการนอน ต้องไม่ปล่อยปะละเลย ต้องหาทางจัดการให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคอะไรก็ตาม ต้องศึกษาและตามหาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคุณ ผมใช้เวลาหลายปีมากในการจัดการปัญหาการนอนของตัวเอง จนตอนนี้ดีขึ้นมากๆ แล้ว การนอนที่ดีเป็นพื้นฐานของทุกสิ่งจริงๆ ครับ
อีกเรื่องคืออาหาร อาหารก็เป็นตัวสร้างพลังงานอย่างหนึ่ง และถ้าเราเอาขยะเข้าตัว พลังงานเราก็จะเป็นพลังงานขยะ ถ้าเราเอาของดีๆ คลีนๆ เข้าตัว พลังงานของเราก็จะดีๆ แบบนั้นแหละครับ
ส่วนเรื่องการออกกำลังกายเราคุยกันเยอะมากแล้วเรื่องนี้ บทความนี้จะขอไม่พูดถึงเยอะ เดี๋ยวมันยาวเกินไป เอาเป็นว่าถ้าเป็นไปได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอทุกวันจะช่วยรักษาระดับพลังงานได้ดีครับ
แต่เรื่องที่ผมอยากโฟกัสมากที่สุดคือการสร้างพลังงานจาก Mindfulness
เวลาพูดถึง Mindfulness คนมักนึกถึงการนั่งสมาธิ แต่จริงๆ วิธีการฝึก Mindfulness นั้นมีเยอะมากๆ โดยเฉพาะถ้าเราอยากได้ Mindfulness เพื่อเสริมประสิทธิภาพการทำงาน ต้องบอกว่าเทคนิคมีเยอะจริงๆ ครับ
ส่วนตัวผมชอบการนั่งสมาธิ การทำ Breathwork และการทำ Ice Bath
การทำพวกนี้อย่างต่อเนื่องทำให้ “สติ” ของเราเฉียบคมมากขึ้น
แล้วมันช่วยเรื่องการทำงานยังไง
.
.
เรื่องแรกเลยคือ มันจะลดความเร็วของทุกอย่างลงครับ
ในการใชัชีวิตประจำวันของเรานั้น มีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย
เวลามีเหตุการณ์เกิดขึ้น มันจะมีเวลา “เสี้ยววินาที” ก่อนที่คุณจะตอบโต้ด้วยคำพูดหรือการกระทำไป
ช่วงเวลาเสี้ยววินาทีนั้นนี่แหละครับที่มีค่าสุดๆ
เพราะหากเราจับช่วงเวลาก่อนที่เราจะตอบโต้ทัน เราจะเห็นอารมณ์ต่างๆ ของเรา เช่น ความโกรธ ความโลภ หรือความกลัว เมื่อเราเห็นเราจะตอบโต้แบบที่ผมเรียกว่า Objectively มากขึ้น คือไม่ได้ตอบโต้ไปตามความเคยชิน แต่ตอบโต้ด้วยสิ่งที่ผ่านการคิดมาแล้ว
หากอ้างอิงถึงหนังสือ Thinking Fast and Slow ของ Daniel Kahneman มันคือการไม่ปล่อยให้ System 1 หรือสมองส่วนอารมณ์ความรู้สึกทำงานทั้งวัน แต่เปิดโอกาสให้ System 2 หรือสมองส่วนที่เก่งและหวังดีกับเรานั้น ทำงานบ้าง
อย่างที่ทุกท่านคงจำจากหนังสือเล่มนี้ได้ว่า System 1 นั้นแรงเยอะกว่ามาก ดังนั้นการที่ทำให้ System 2 ทำงานได้ “บ้าง” เราต้องมีเครื่องมือครับ และเครื่องมือนั้นคือสติที่จะจับช่วงเวลาเสี้ยววินาทีก่อนเราตอบโต้นี่เอง
เมื่อคุณทำได้ “มากขึ้น” สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือคุณจะ “นิ่ง” และ “เย็น” ขึ้น
ความ “นิ่ง” จะทำให้เราจัดการกับเรื่องตื่นเต้น เรื่องเครียด เรื่องปวดประสาทเวลาเข้ามาได้อย่างดีขึ้น
สมมติมีลูกน้องมาพูดอะไรที่กระตุ้นความหงุดหงิดคุณ คุณจะไม่สวนออกไปทันที แต่จะฟังมากขึ้นและนานขึ้น บางทีคุณอาจจะขอบคุณเขาด้วยซ้ำที่เข้ามาช่วยเป็นบททดสอบ “ความนิ่ง” ของคุณ
แบบที่ผู้ใหญ่มักสอนเราเสมอครับว่า
คนที่ “นิ่ง” กว่าจะชนะเสมอ
.
.
ส่วนเรื่องความ “เย็น” นั้นก็น่าสนใจ
ก่อนหน้านี้ผมเคยได้รับ Feedback ที่มีค่ามากๆ จากทีมงานคนหนึ่งของผมคือ เขารู้สึกว่าผมนั้นแผ่พลังงานความ “ร้อน” ออกมามาก ทำให้คนที่อยู่รอบตัว หรือจะเรียกว่าทั้งบริษัทนั้น “ร้อน” ไปด้วยมันคงจะดีกว่านี้มาก ถ้าพลังงานที่ผมแผ่ออกมาเป็น “ความเย็น” บ้าง
ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าต้องทำยังไง แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วครับ เวลาผม “เย็น” ความ “เย็น” จะแผ่ออกไปจริงๆ และสิ่งที่เกิดขึ้นคือทีมงานก็จะตัดสินใจแบบ “Objectively” ได้มากขึ้นเช่นกัน
“สติ” “ความนิ่ง” และ “ความเย็น” มาด้วยกัน
.
.
นอกจากนั้น High Energy Lifestyle ยังทำให้คุณ “โฟกัส” ได้ดีขึ้นด้วยครับ
คุณจะสามารถโฟกัสกับงานได้ดีขึ้น คนที่สามารถโฟกัสกับงานตรงหน้าได้จริงๆ ในเวลาเท่ากันจะสามารถทำงานได้มากกว่าและมีคุณภาพกว่าคนที่ไม่โฟกัสหลายเท่าตัว เวลาเราเห็นคนทำงานเร็วและมีประสิทธิภาพส่วนใหญ่จะเป็นเพราะว่าเขาสามารถโฟกัสและไม่วอกแวกได้ดีกว่าคนอื่นทั้งสิ้นครับ
และที่สำคัญมากๆคือ ยิ่งคุณ “โฟกัส” มากเท่าไร คุณจะสนุกกับงานมากขึ้นด้วย
ของแถมอีกอันที่เจ๋งมากๆ คือ High Energy Lifestyle เป็นเครื่องมือในการจัดการกับการผัดวันประกันพรุ่งได้ดีที่สุด
เรียกว่าเป็น Procrastination Killer เลยครับ โดยเฉพาะกับงานที่เรารู้แหละว่าสำคัญแต่ยังไม่ด่วนมาก การมี High Energy Lifestyle จะทำให้เราทำงานพวกนั้นสำเร็จ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนตอนพลังงานต่ำเราจะ “ผัดวันประกันพรุ่ง” งานพวกนี้ไปก่อน
ยกตัวอย่างสำหรับผม เช่น การต้องเขียนต้นฉบับโดยยังไม่ถึง Deadline ปกติผมจะขี้เกียจมาก แต่ตั้งแต่ทำ High Energy Lifestyle ได้ผมก็เขียนต้นฉบับเสร็จได้โดยไม่ต้องมี Deadline มาบังคับ
โดยรวมผมค่อนข้างมั่นใจเลยว่า ถ้าทำแบบนี้ได้ตลอด ความพึงพอใจในชีวิตจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนครับ
.
.
แล้วอะไรคือตัวขัดขวาง High Energy Lifestyle?
จริงๆผมว่ามีหลายเรื่อง แต่ถ้าจะให้ตอบเร็วๆคงต้องบอกว่า
Cheap Dopamine ครับ
เราได้ Cheap Dopamine จากกิจกรรมที่เรารู้อยู่แล้วนะครับว่ามันไม่ค่อยดีเท่าไร เช่น การเล่น Social Media เยอะเกินไป, การสูบบุหรี่, ขนมที่น้ำตาลเยอะ, แอลกอฮอล์ ฯลฯ
ของพวกนี้เลิกยากครับ แต่สิ่งที่ผมคิดว่าเราพอจะทำได้คือการ “ลด”
แต่ถ้า “ลด” Cheap Dopamine แล้วอะไรคือ “รางวัล” ที่เราจะเอามาแลก
เพราะถ้าให้ “ลด” อย่างเดียว แต่ไม่มีแรงจูงใจเลย อาจจะทำได้ยากหน่อย
“รางวัล” ที่เราจะได้คือ ความรู้สึกถึง “พลังงาน” ที่เราจะได้จากการลดการเสพ Cheap Dopamine
เช่น ถ้าเราตัดใจไม่วางมือถือแล้วนอนเร็วๆ ตื่นมาออกกำลังกาย เราก็จะได้วันที่เป็น High Energy มา พอทำไปนานๆ เราจะค่อยๆ ลดการเสพติด Cheap Dopamine ได้ทีละนิด
เพราะว่ารางวัลของ High Energy Lifestyle นั้นมันคุ้มค่าจริงๆ ครับ 🙂
บทความโดย รวิศ หาญอุตสาหะ
#RawitsThought
#HighEnergyLifestyle
#missiontothemonn
#missiontothemoonpodcast
