PSYCHOLOGYชีวิตเป็นของเราหรือเป็นของใคร? เมื่อการควบคุมมากเกินไป (Coercive Control) สร้างบาดแผลลึกกว่าที่คิด

ชีวิตเป็นของเราหรือเป็นของใคร? เมื่อการควบคุมมากเกินไป (Coercive Control) สร้างบาดแผลลึกกว่าที่คิด

“ถ้าเรียนคณะอื่นที่ไม่ใช่หมอ พ่อกับแม่ไม่เลี้ยงแล้วนะ”
“ห้ามสักเด็ดขาดเลยนะ ถ้าทำ พ่อกับแม่จะโกรธลูก”
“ทำไมเราจะดูมือถือเธอไม่ได้ล่ะ เราเป็นแฟนกันแล้วนะ”

หลายๆ คนอาจเคยได้ยินประโยคข้างต้นมาบ้างแล้ว บางคนอาจจะมองว่า “ก็เป็นเรื่องปกตินี่ พ่อแม่ก็แค่เป็นห่วงอนาคตลูก ส่วนแฟนกันก็ต้องดูแชตในมือถือ เผื่อแฟนแอบนอกใจ”

จริงแล้วๆ พวกเขามีสิทธิ์จะ ‘บอกหรือขอดู’ แต่พวกเขาไม่มีสิทธิ์ไป ‘บังคับ’ ให้ลูกหรือคนรักต้องยินยอมทำตาม คำพูดดังกล่าวอาจดูธรรมดา แต่เต็มไปด้วยคมมีดที่ทำร้ายทั้งตัวตนและชีวิตของอีกฝ่าย

สถิติจาก Substance Abuse and Mental Health Services Administration (SAMHSA) ปี 2022 เผยว่า ประมาณ 2 ใน 3 ของเด็กทั่วประเทศสหรัฐฯ ประสบกับภาวะบาดเจ็บในจิตใจ (Trauma) จากการโดนทำร้ายทางร่างกาย ทางเพศ ทางอารมณ์ หรือถูกทอดทิ้ง สูญเสียคนที่รักไป ไม่ก็เกิดภาวะยึดติดกับครอบครัวมากเกินไป

บาดแผลต่างๆ ในจิตใจของเด็กส่วนหนึ่งก็มาจากการถูกพ่อแม่ควบคุมหรือบีบบังคับตลอดเวลา จนพวกเขาไม่สามารถแยกแยะได้ว่า “ขอบเขตของอำนาจอยู่แค่ไหน” มองว่า การบีบบังคับคือเรื่องที่คนทั่วไปเขาทำกัน และทำไปด้วยความรัก สิ่งที่เด็กได้เรียนรู้แบบผิดๆ นี้ส่งผลให้พวกเขาทำมันซ้ำๆ กับคู่รักและลูกของเขา

และความรักที่บิดเบี้ยวนี้เริ่มต้นจากพฤติกรรมที่เราเรียกว่า “Coercive Control”

“Coercive Control” คืออะไร?

Coercive Control หมายถึง “การควบคุมบีบบังคับ” ซึ่งถือเป็นหนึ่งในความรุนแรงภายในครอบครัว โดยการใช้ความรุนแรงในรูปแบบนี้ไม่ได้จำกัดที่การทำร้ายร่างกาย แต่รวมถึงการที่ผู้กระทำใช้อำนาจที่ตนมีข่มขู่ จำกัดอิสรภาพในการกระทำ ดูหมิ่น หรือทำให้ผู้ถูกกระทำเสียความมั่นใจในตัวเองไป

เหยื่อของ Coercive Control มักเป็นผู้หญิง เด็กและผู้พิการ แต่ผู้กระทำก็สามารถเป็นได้ทั้งชาย หญิงและผู้ที่มีอายุน้อยกว่าได้เช่นกัน นอกจากนี้ Coercive Control ยังสร้างบาดแผลที่มองไม่เห็นและความกลัวฝังใจให้ผู้ถูกกระทำรู้สึกว่า ชีวิตนี้ไม่ใช่ของพวกเขา จึงยอมให้ผู้กระทำควบคุมชีวิตโดยไม่กล้าต่อต้าน แต่เมื่อถึงจุดจุดหนึ่ง ความรุนแรงนี้อาจส่งผลให้เหยื่อตัดสินใจลงมือทำร้ายไปจนถึงฆาตกรรมผู้ที่บีบบังคับพวกเขาเพื่อจบความทรมานนี้ลง

พฤติกรรมที่อันตรายนี้สามารถส่งต่อผ่านการเลี้ยงดูได้ อ้างอิงจากทฤษฎีความผูกพัน (Attachment Theory) เด็กๆ มักซึมซับพฤติกรรมของผู้ใหญ่ และสัญชาตญาณของเด็ก จะหลีกเลี่ยงการกระทำที่ทำให้ผู้ดูแลตนต้องโมโห เศร้าหรือเครียด เพื่อไม่ให้พวกเขาทอดทิ้งตนไป จึงเกิดมุมมองว่า Coercive Control เป็นเรื่องปกติ และเมื่อเด็กๆ โตขึ้น พวกเขาก็จะทำพฤติกรรมซ้ำๆ แบบนี้กับคู่รักและลูกของตนต่อไป

ลักษณะพฤติกรรมที่เข้าข่าย Coercive Control

– คอยจับตาดูพฤติกรรมไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัว เดินทางไปไหน คุยกับใคร รวมถึงการกินดื่มและทุกๆ กิจกรรมที่ทำ รวมถึงการเช็กคอมพิวเตอร์ มือถือหรืออีเมล โดยมักบอกกับผู้ถูกกระทำว่า ที่ตรวจเช็กก็ทำไปด้วยรัก หรือเป็นห่วง

– กีดกันไม่ให้ผู้ถูกกระทำติดต่อกับสมาชิกอื่นๆ ในครอบครัวหรือเพื่อน นอกจากนี้ผู้กระทำอาจห้ามไม่ให้เหยื่อไปทำงานหรือไปโรงเรียน เพื่อให้ตนบังคับเหยื่อได้ง่ายขึ้น

– ควบคุมสภาพการเงินไว้ ไม่ให้เหยื่อตัดสินใจใดๆ เอง แม้กระทั่งการซื้อเสื้อผ้า อาหารปัจจัยหรือบริการพื้นฐานอื่นๆ ก็ตาม

– ดุด่า ใช้คำพูดที่ทำให้เหยื่อรู้สึกไร้ค่า หรือข่มขู่ทั้งทางคำพูดและการกระทำ เช่น ทำลายข้าวของในบ้าน หรืออาจใช้ลูก สัตว์เลี้ยงมาขู่ เพื่อให้เหยื่อรู้สึกหวาดกลัวและยินยอมให้ถูกบีบบังคับ ทั้งนี้อาจยุยงให้ลูกเกลียดผู้ถูกกระทำด้วย

Advertisements
Advertisements

Coercive Control ที่เกิดขึ้นจริงในเคสของหญิงชาวปากีสถาน

ข้อมูลจาก Research In Practice For Adults ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่รวบรวมเรื่องราวของเหยื่อ Coercive Control ในประเทศอังกฤษ ได้บอกเล่าถึงเรื่องราวของ Ayesha หญิงชาวปากีสถานที่ย้ายมาอยู่ที่ประเทศอังกฤษร่วมกับสามีและลูกของเธอ

ในช่วงที่สามียังมีชีวิตอยู่ เธอถูกสามีทำร้ายทั้งทางร่างกายและวาจามาโดยตลอด นอกจากนี้ Ayesha แทบไม่ได้พูดคุยกับคนภายนอก เพราะเธอพูดภาษาอังกฤษได้เล็กน้อย และทางสามีก็ไม่ได้ให้เธอเรียนภาษาเพิ่มเนื่องจากเขาคิดว่าเธอไม่จำเป็นต้องใช้ภาษา และหลังจากสามีตายไป ลูกชายคนโตของเธอก็ตัดสินใจดูแลเธอต่อ

ในทุกทุกครั้งที่ลูกชายของเธอดุด่าเธอ Ayesha เห็นด้วยกับคำดุด่านั้น เขายึดเงินบำนาญของเธอและทำหน้าที่เป็นคนซื้อของใช้ในชีวิตประจำวันแทน โดยให้เหตุผลว่า “แม่ของเขาแก่มากแล้ว สมควรพักผ่อน” อีกทั้ง Ayesha มักเครียดและหวาดกลัวเสมอเวลาทำอาหารให้ลูกชายเธอทุกครั้ง เพราะกลัวว่าอาหารจะไม่ถูกปากเขา

Ayesha ไม่สามารถใช้ชีวิตแบบมีความสุขได้เลย เธอมีน้ำตานองหน้าอยู่เสมอ รู้สึกเหนื่อยตลอดเวลา น้ำหนักเธอก็ลดลงไปมากและไม่สามารถนอนหลับได้สนิท เมื่อลูกสาวของเธอเห็นสภาพกายและใจที่ทรุดโทรมหลังมาเยี่ยมแม่แบบไม่ได้นัดล่วงหน้า เธอจึงตัดสินใจติดต่อนักสังคมสงเคราะห์ในอังกฤษ ทำให้ในสุดท้ายแล้ว Ayesha ได้เข้ารับการรักษาและสามารถออกจาก Coercive Control ของลูกชายเธอได้

การรับมือกับ Coercive Control

ปัจจุบัน แต่ละประเทศมีการรับมือกับ Coercive Contol แตกต่างกันออกไปอย่างประเทศสหรัฐฯ ไม่ได้มองว่า Coercive Control เป็นเรื่องผิดกฎหมายตราบใดที่ยังไม่เกิดการทำร้ายทางร่างกายขึ้น แต่ประเทศอังกฤษและเวลส์ตราบทกฎหมายว่า Coercive Control คือการกระทำที่เข้าข่ายผิดกฎหมายอาญา

ในส่วนของประเทศสกอตแลนด์ ก็ได้สร้างกฎหมายที่เกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัวอย่างเข้มงวดเพื่อคุ้มครองเหยื่อ และมีบทลงโทษสูงสุดแก่ผู้กระทำคือ จำคุก 15 ปี โดยทางรัฐบาลได้อบรมเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีทั้งหมดเพื่อให้เข้าใจกฎหมายนี้และตระหนักถึงผลกระทบอันรุนแรงของ Coercive Control ที่เกิดขึ้นกับเหยื่อทั้งเด็กและผู้ใหญ่

ส่วนในประเทศออสเตรเลีย รัฐบาลได้สร้างโมเดล Safe & Together เพื่อชี้ให้ประชาชนเข้าใจรูปแบบการกระทำ และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เข้าข่ายความรุนแรงในครอบครัวนี้

ในฝั่งบ้านเรา การที่พ่อแม่ควบคุมลูกๆ จากสิ่งแวดล้อมที่อาจยั่วยุให้พวกเขาหลงผิด ย่อมส่งผลดีต่อการเจริญเติบโตของเด็ก แต่การควบคุมในระดับที่ฝังความกลัวและความไม่มั่นใจในชีวิตให้เด็ก อาจกำลังเข้าไปทำลายตัวตนของพวกเขาจนพวกเขาไม่มีความสุข รวมถึงคู่รักที่คอยควบคุมชีวิตคู่ ภายนอกอาจจะดูเต็มไปด้วยความห่วงใย ใส่ใจ แต่จริงๆ แล้วเต็มไปด้วยความทรมานอย่างที่เราอาจจะคาดไม่ถึง

ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดและเป็นหน้าที่สำคัญของทุกคนคือ “การรู้พฤติกรรมตัวเองและหมั่นเช็กคนรอบข้างอยู่เสมอว่า กำลังเข้าข่าย Coercive Control หรือไม่” เพราะเหยื่ออาจไม่รู้ตัวว่า ตนกำลังอยู่ในวังวนของความรุนแรงนี้ หลังรู้ตัวก็มีน้อยคนนักที่สามารถออกไปจากความสัมพันธ์ Toxic นี้ได้ เหยื่อหรือผู้เห็นเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัวควรรีบติดต่อองค์กรที่เกี่ยวข้องหรือสายด่วนต่างๆ เหล่านี้ อย่าง 1300, 1387 และ 1157 เพื่อขอความช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว

ส่วนผู้กระทำเองก็อาจเคยเป็นเหยื่อของ Coercive Control มาก่อน หากพวกเขาเคยประสบเหตุการณ์ดังกล่าวมาก่อน การเข้าบำบัดรักษาจิตใจเพื่อเลิกทำพฤติกรรมที่บีบบังคับย่อมหยุดวงจรที่แสนทุกข์ทรมานไม่ให้ส่งต่อไปยังคนรุ่นหลังได้ และเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและยั่งยืนอีกด้วย


เนื้อหาอื่นๆ ที่น่าสนใจ:
– บาดแผลที่ไม่มีวันหาย จากความรุนแรงในครอบครัวและทัศนคติแบบเดิมๆ


อ้างอิง:
https://bit.ly/3otNGtU
https://bit.ly/3ryYmtn
https://bit.ly/3spQMAr
https://bit.ly/333drtH


#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
#psychology
#society

Advertisements

LASTEST ARTICLES

LASTEST PODCAST

POPULAR ARTICLES

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่มีความจำเป็น (Strictly Necessary Cookies)
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้งานและเข้าชมเว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้ อย่างไรก็ตาม คุณสามารถบล็อคการใช้งานคุกกี้ได้จากเบราว์เซอร์ที่ใช้งาน ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบกับการใช้งานเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้สำหรับการวิเคราะห์และวัดผลการทำงาน (Performance Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

บันทึกการตั้งค่า