สำนักข่าว The Wall Street Journal มีการรายงานถึงการเปลี่ยนแปลงไปของพนักงานในช่วงก่อนและหลังการระบาดของโควิด-19 โดยก่อนหน้าการระบาด “เป้าหมาย” ของพนักงานบริษัทจะโฟกัสไปที่การเลื่อนตำแหน่งเป็นหลัก แต่ในปัจจุบัน ภายใต้การนโยบายการทำงานที่บ้าน ส่งผลให้ความต้องการและความทะเยอทะยานของเหล่าพนักงานนั้นเปลี่ยนแปลงไป และนอกจากพนักงานจะเปลี่ยนไปแล้ว องค์กรก็มีการเปลี่ยนไปเช่นกัน หลายองค์กรหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องของความรู้สึกและปัญหาสุขภาพจิตของพนักงานมากขึ้น แตกต่างจากก่อนหน้านี้ที่ไม่ได้ให้ความสนใจมากเท่าไรนัก
ด้วยการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ ทาง The Wall Street Journal จึงได้แนะนำถึงลักษณะของพนักงาน 6 ประเภท ที่อาจพบเจอในทำงานในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เพื่อที่องค์กรจะปรับตัวและตอบรับกับแต่ละประเภทของพนักงานได้อย่างเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
1. พนักงานที่ทะเยอทะยาน
การใช้ชีวิตท่ามกลางการระบาดอาจทำให้พนักงานบางคนรู้สึก “อยู่กับที่” จากความรู้สึกนี้ที่ก่อตัว เมื่อพนักงานเหล่านี้ได้กลับมาทำงาน ก็มีแนวโน้มที่พวกเขาจะมีความกระตือรือร้น และอยากกลับมาให้ความสนใจกับงานมากยิ่งขึ้น รวมถึงยังพยายามหาแรงบันดาลใจ และพัฒนาเส้นทางการทำงานมากกว่าที่เคย
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากที่หัวหน้างานจะต้องคอยประคับประคองให้พนักงานยังคงความกระตือรือร้นและความทะเยอทะยานในการทำงานต่อไป โดยอาจจะเริ่มจากการสอบถามถึงเป้าหมายของพวกเขาในอนาคตและช่วยพวกเขาวางแผนการทำงานเพื่อพัฒนาทักษะและสั่งสมประสบการณ์ที่เหมาะสมกับเป้าหมายของพวกเขาในอนาคต
2. พนักงานที่ให้ความสำคัญกับการชีวิต
พบว่ามีพนักงานหลายคนที่ให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตมากกว่าการทำงาน เช่น การให้ความสำคัญกับครอบครัว หรืองานอดิเรก ทำให้เป้าหมายของพนักงานกลุ่มนี้คือ การมีเงินเดือนที่มั่นคง และงานที่สามารถจัดการได้ และแน่นอนว่าการทำงานให้เสร็จอย่างรวดเร็วเป็นเป้าหมายสำคัญสำหรับคนกลุ่มนี้
สิ่งที่สำคัญสำหรับหัวหน้างานนั้นก็คือ ความเข้าใจถึงสิ่งที่พนักงานเหล่านี้เลือกที่จะให้ความสำคัญ แม้ว่าจะเป็นเรื่องไม่เกี่ยวข้องกับการทำงานก็ตาม โดยหากพนักงานให้ความสำคัญกับการเลี้ยงดูบุตร หัวหน้างานควรจะตระหนักว่าการบังคับให้พวกเขาทำงานล่วงเวลาก็อาจจะส่งผลให้พวกเขาเหล่านี้ต้องการจะลาออกก็เป็นได้
3. พนักงานที่มีบทบาทนอกเหนือจากการทำงาน
การทำงานท่ามกลางสภาวะการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ส่งผลให้พนักงานมีความจำเป็นที่จะต้องรับผิดชอบทั้งงานในบ้าน และงานจากบริษัท อีกทั้งยังต้องปฏิบัติตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นการเพิ่มความเครียดและปัญหาสุขภาพจิตต่อพนักงาน.
จากผลการศึกษาในช่วงเดือนกันยายน พบว่าผู้หญิงมากถึง 48% ให้ความเห็นว่าโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตอย่างมาก และการที่ต้องดูแลทั้ง 2 เรื่องในเวลาเดียวกันก็ยิ่งทำให้สุขภาพจิตแย่ลงไปอีก ดังนั้นองค์กรจึงต้องทำความเข้าใจพวกเขา ซึ่งจากการสำรวจพบว่ามีมากถึง 78% ที่ให้ความเห็นว่า พวกเขาต้องการองค์กรที่ให้โอกาสในการทำงาน เข้าใจ มีความยืดหยุ่น และให้การสนับสนุนที่ดี จึงจะสามารถกระตุ้นการทำงานของพวกเขาได้นั้นเอง
4. พนักงานที่ต้องการเชื่อมสัมพันธ์กับผู้อื่น
การระบาดทำให้พนักงานหลายรายต้องใช้ชีวิตอยู่ตามลำพัง ทำให้พนักงานเหล่านี้ต้องการที่จะมาทำงานเพื่อที่จะได้พบปะพูดคุยกับผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพนักงานที่อายุยังน้อย หรือพนักงานที่ยังไม่มีคู่ครอง หรือแม้แต่พนักงานบางรายที่มีเวลาให้กับครอบครัวมากขึ้น ก็ต้องการที่จะมีปฏิสัมพันธ์ในรูปแบบอื่นๆ ที่พวกเขารู้สึกว่าขาดหายไปช่วงที่ต้องทำงานจากที่บ้าน
ซึ่งการประชุมหรือพูดคุยผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ ก็อาจจะไม่เพียงพอต่อความต้องการของพวกเขาสำหรับพนักงานเหล่านี้ ดังนั้น หัวหน้างานจะต้องรู้ถึงความต้องการ พยายามเชื่อมโยงพวกเขาเข้าด้วยกันผ่านกิจกรรมต่างๆ เพื่อที่จะเสริมสร้างสายสัมพันธ์ให้กับพนักงานเหล่านี้
5. พนักงานที่ต้องการมีชีวิตที่สนุก
พนักงานรูปแบบนี้จะให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิต เช่นเดียวกันกับพนักงานรูปแบบที่ 2 ที่เราได้กล่าวไปข้างต้น แต่ก็จะมีความแตกต่างตรงที่ พนักงานที่ต้องการมีชีวิตที่สนุก มักจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับการทำงานเป็นหลัก โดยส่วนมากแล้วพวกเขามักมองหาสิ่งใหม่ๆ ระหว่างการทำงาน และมักพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานอยู่เป็นประจำ และเป้าหมายในการทำงานของพนักงานประเภทนี้ จะไม่หวังการเลื่อนตำแหน่งไปสู่ผู้บริหาร แต่อย่างไรก็ตาม พนักงานประเภทนี้ก็มีศักยภาพและหลงใหลในการทำงานเช่นกัน องค์กรจึงควรที่จะยื่นข้อเสนอที่ท้ายให้พนักงานในกลุ่มนี้ เพื่อเป็นการกระตุ้นการทำงานที่ดียิ่งขึ้น
6. พนักงานใหม่ที่ยังไม่รู้สึกคุ้นชินกับองค์กร
เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาด ทำให้พนักงานใหม่ส่วนใหญ่เริ่มงานโดยปราศจากการพบปะกับพนักงานในคนอื่นๆ ในทีม สำหรับบางองค์กร อาจมีการดำเนินการรับพนักงานใหม่เข้ามาร่วมทีมในรูปแบบออนไลน์ 100% ส่งผลให้พนักงานเหล่านี้ยังคงสับสนและไม่คุ้นชินกับองค์กร ทำให้พวกเขาต้องพยายามอย่างมากในการที่จะทำความเข้าใจกับวัฒนธรรมองค์กร
อย่างไรก็ตาม ถือเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างมากสำหรับพนักงานหน้าใหม่เหล่านี้ ที่จะรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับองค์กรได้อย่างแท้จริงในสภาพแวดล้อมแบบออนไลน์ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญ ที่หัวหน้างานจะต้องทำให้พนักงานใหม่เหล่านี้รู้สึกว่าได้รับการต้อนรับ และเป็นส่วนหนึ่งของทีมเมื่อกลับมาทำงานที่ออฟฟิศ
และนี่ก็คือสิ่งที่องค์กรควรจะต้องทำความเข้าใจ เพื่อคงไว้ซึ่งพนักงานที่ถือเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดไม่ให้เปลี่ยนงานหรือลาออกจากองค์กรไป และความรู้ความเข้าใจถึงความต้องการของพนักงานในองค์กร ก็จะทำให้องค์กรได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากการทำงานของพวกเขาท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในครั้งนี้
อ้างอิง
https://on.wsj.com/3vHb23E