Mid Life : Past / Present / Future

4503
รูปภาพจาก Number 24 x Shutterstock.com
มีเวลาไม่เยอะอยากอ่านสั้นๆ
  • เมื่อตัวเลขนำหน้าของอายุเราเปลี่ยนไป สิ่งนี้ก็เหมือนกับเป็นตัวบอกกับเรากลาย ๆ ว่าเราควรที่จะทบทวนถึงชีวิตที่ผ่าน และนี่คือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้และตกผลึกมาครับ
  • 1.) เราในวันนี้คือผลรวมของทางเลือกทั้งเล็กทั้งใหญ่ในอดีต 2.) ทำทุกวันให้มีความหมาย
  • 3.) สุขภาพเป็นเรื่องที่สำคัญ 4.) ทำให้ทุกวันมีเป้าหมาย 5.) จงอย่าหยุดที่จะเรียนรู้
  • 6.) สร้างวินัยให้เหมือนกับปลูกต้นไม้ 7.) ลองทำงานหลาย ๆ อย่าง เพราะเราอาจจะเจอ passion ที่ไม่เคยรู้มาก่อนก็ได้
  • 8.) พูดคำว่า “ไม่” ให้เป็น 9.) ให้รู้ค่าของสิ่งที่มีอยู่และคนรอบข้าง

ผมตั้งใจจะเขียนเรื่องนี้มาซักพักแล้วครับ ผมเชื่อว่าตอนที่คนเรามีตัวเลขนำหน้าของอายุที่เปลี่ยนไปตั้งแต่ 1/2/3/4/5/6/7/8 มันเหมือนจะเป็นการบังคับกลาย ๆ ว่า ถึงเวลาที่เราต้องตกผลึกอะไรบางอย่างในชีวิตให้ได้

เหมือนกับว่าทุก ๆ 10 ปี เราต้องเอาประสบการณ์ที่เราสั่งสม มาเรียงลำดับความสำคัญของเรื่องต่าง ๆ ในชีวิต เพื่อที่จะได้ให้เราใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ได้อย่างมีความสุขที่สุด

แต่การเปลี่ยนเข้าสู่วัย 40 มีความพิเศษเล็กน้อยตรงที่วัยนี้สามารถเรียกได้เต็มปากว่าเป็น mid life (วัยกลางคน) จริงๆ และมักมาคู่กับ mid life crisis (วิกฤตวัยกลางคน) คือความตกใจที่ชีวิตผ่านมาครึ่งทางแล้ว โดยธรรมชาติเราจะเริ่มเช็คแล้วว่าชีวิตของเรามันต่างกับชีวิตที่เราอยากให้เป็นแค่ไหน ถ้ามันห่างมากบางทีมันอาจจะทำให้เรารู้สึกแย่เอาได้ง่ายๆ

Advertisements

นี่ยังไม่รวมถึงความจริงที่ว่าหลายคนหลังจากเรียนจบตอน 20 ต้น ๆ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานแบบไม่ลืมหูลืมตา จนเงยหน้าขึ้นมาอีกที ก็พบว่าตัวเองอายุ 40

มีหลายเรื่องที่ทำให้ตกใจเหมือนกัน แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้เราได้คิดว่าต่อจากนี้จะไปอย่างไรต่อ

และนี่คือเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผมได้เรียนรู้มาและตกผลึกได้ตอนนี้ครับ

Advertisements
  • เราในวันนี้คือผลรวมของทางเลือกทั้งเล็กทั้งใหญ่ของเราในอดีต ถ้าเราไม่ชอบตัวเองตรงไหนก็เปลี่ยนตรงนั้นซะ ความจริงข้อนึงก็คือ ทางเลือกที่ดี ๆ ทั้งหลายในชีวิต ในตอนเริ่มต้น มันมักจะไม่น่าทำ ไม่สนุก และที่สำคัญคือกว่าความสุขจะมาต้องอดทนรอ นี่เป็นสาเหตุที่คนเยอะมากเลือกความสุขแบบ pleasure คือสุขแบบฉาบฉวยเพราะมันสุขทันที แต่ความสุขที่มีความหมายหรือ enjoyment นั้นมันต้องอดทนมันถึงจะมา
  • การทำทุกวันให้มีความหมายนั้นสำคัญจริงๆ คำว่ามีความหมายคือมีความหมายกับตัวเองและคนอื่น  เราเป็นรอยยิ้มให้คนรอบข้างเราบ้างไหม เป็นที่พึ่งให้คนรอบข้างเราบ้างไหม ในขณะเดียวกันก็ต้องเป็นความหมายให้กับตัวเองด้วย เราต้องบอกตัวเองก่อนปิดตานอนให้ได้ว่า “วันนี้ทำดีที่สุดแล้ว เรื่องของพรุ่งนี้เดี๋ยวตื่นมาลุยกันต่อ”
  • สุขภาพเป็นเรื่องที่สำคัญจริง ๆ จะเรียกว่าสำคัญที่สุดก็ว่าได้ เพราะไม่ว่าเราอยากจะทำอะไรในอนาคต สุขภาพจะส่งผลต่อโอกาสที่จะสำเร็จเยอะมาก สุขภาพเราในวันนี้ส่วนใหญ่ก็มาจากทางเลือกเราในอดีต เช่นกัน ส่วนตัวผมให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก กิน นอน ออกกำลังกาย ต้องทำให้ดีทุกวัน
  • ให้ทุกวันมีเป้าหมาย ตั้งเป้าและพยายามทำให้สำเร็จทุกวันให้ได้ เพราะเราต้องให้กำลังใจตัวเองเสมอ กำลังใจที่มาง่ายและดีมากที่สุดคือกำลังใจที่เราได้จากชัยชนะเล็ก ๆ ที่เราได้จากการทำเป้าหมายให้สำเร็จทุกวันนี่แหละ อย่างของผมคือการวิ่งให้ได้เวลาที่ต้องการ และการทำ podcast เป้าหมายเล็กทุกวันเหล่านี้ มันจะเชื่อมกับเป้าหมายใหญ่ของเรา และถ้าเราทำมันทุกวัน รู้สึกตัวอีกทีเป้าหมายที่ใหญ่มาก ๆ ของเรามันก็จะสำเร็จ ถ้าคนรอบนอกมองเข้ามาโดยไม่รู้ว่าเรามีชัยชนะเล็ก ๆ ทุกวัน หลายคนอาจจะบอกว่าเราโชคดี แต่เรารู้ว่าเรามาได้เพราะสิ่งที่เราสะสมกันเล็ก ๆ ทุกวันต่างหาก
  • เมื่อเราไปถึงเป้าหมายไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม อย่าให้ความสำเร็จมาเป็นเครื่องฉุดไม่ให้เราเรียนรู้ต่อ เพราะเมื่อเราไม่เรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ ทุกวัน เราจะก้าวไม่ทันคนอื่นจริง ๆ ใช่ครับมันเหนื่อย แต่ถึงเหนื่อยก็ต้องทำเพราะเรารู้ผลของการไม่ทำอยู่แล้ว
  • สร้างวินัยให้เหมือนกับปลูกต้นไม้ คือดูแลมันอย่างดี หมั่นให้น้ำพรวนดินใส่ปุ๋ย เราสามารถเก็บดอกผลจากต้นไม้ที่ชื่อ “วินัย” ได้ แต่อย่าโค่นต้นไม้เพื่อเอาไม้ไปขายก็พอ เพราะต้นไม้นี้ตอนปลูก ปลูกยากมาก แต่สามารถโค่นได้ในพริบตาเดียว
  • ถ้าเป็นไปได้ลองทำงานหลาย ๆ อย่างทั้งงานหลักงานเสริม ลองพาตัวเองออกจากความเคยชินเดิม ๆ การทำอะไรหลายอย่างแบบนี้มีโอกาสพาเราไปเจอ passion ที่เราไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีได้
  • คนเราจะบริหารชีวิตของตัวเองได้ต้องพูดว่า “ไม่” ให้เป็น และต้องพูดอย่างมีสไตล์ด้วย
  • ให้รู้ค่าของสิ่งที่มีอยู่ ผมรู้ว่าคนพูดเรื่องนี้บ่อยแต่หลายครั้งธรรมชาติของเราทำให้เราลืมไปและไม่ให้ค่ากับคนใกล้ตัวหรือของใกล้ตัว เรื่องนี้พูดง่ายแต่หลายครั้งก็ทำยากหรือทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ดังนั้นต้องเดือนสติตัวเองดี ๆ ว่า never take anything for granted (อย่ามองเห็นทุกสิ่งเป็นของตาย)

สำหรับชีวิตที่จะเดินต่อไป ผมรู้สึกมั่นใจและมีความสุขเพราะรู้จักตัวเองแล้วว่าอะไรทำให้เราสุขใจ อะไรทำให้เราทุกข์ใจ อะไรเป็นสิ่งกระตุ้นเรา อะไรเป็นสิ่งที่ฉุดเรา

สิ่งสุดท้ายที่ผมเรียนรู้และคงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดด้วยก็คือคนเรามีสิทธิจะฝันเสมอ ไม่ว่าเราจะเป็นใครและอายุเท่าไร ดังนั้นอย่าดูถูกความฝันของคนอื่นและอย่าดูถูกความฝันของตัวเองด้วย

เจสซี่ โอเว่นส์ (Jesse Owens) เคยกล่าวไว้ว่า

“We all have dreams. But in order to make dreams come into reality, it takes an awful lot of determination, dedication, self-discipline, and effort. “

พวกเราทั้งหมดมีความฝัน แต่การที่จะทำฝันนั้นให้เป็นจริงได้ เราต้องมีความมุ่งมั่น ทุ่มเท ความมีวินัยในตนเอง และ ความพยายามอย่างสูงเจสซี่ โอเว่นส์

ชีวิตจริงก็ตามนี้เป๊ะๆเลย

Advertisements

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่