เมื่อ “Singularity” โลกที่ AI ฉลาดกว่ามนุษย์ อาจมาถึงเร็วกว่าที่คิดเพราะ “Metaverse”

3382
Singularity

เมื่อพูดถึง AI (Artificial Intelligence) หรือ ‘ปัญญาประดิษฐ์’ ส่วนใหญ่เรามักจะพูดถึงเรื่อง ความก้าวหน้าที่จะมาช่วยให้ชีวิตของมนุษย์สะดวกสบายขึ้นกว่าเดิม หรือจินตนาการว่าโลกมนุษย์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร แต่อีกประเด็นหนึ่งที่พูดถึงบ่อยไม่แพ้กันคือ..

ประเด็นที่ว่า ‘AI จะมาแทนที่มนุษย์’ หรือไม่

เพราะเราเห็นเรื่องราวของหุ่นยนต์ยึดครองโลกในสื่อต่างๆ อยู่บ่อยครั้ง ทั้งจากภาพยนตร์ (อย่างเรื่อง The Terminator) นวนิยาย หรือการ์ตูน ประเด็นเหล่านี้จึงจับต้องได้ง่ายและน่าสนใจมากกว่าสำหรับคนส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม คำถามดังกล่าวเมื่อนำมาถกเถียงกันแล้วดูจะซับซ้อนกว่าที่คิด และนักวิชาการต่างพูดถึงประเด็นนี้มานานแล้ว พวกเขาเรียกทฤษฎีนี้ว่า “Technological Singularity” 

Advertisements

ทว่าในปี 2021 เมื่อ “Metaverse” กลายเป็นประเด็นร้อนในสังคม เรื่องราวเหล่านี้จึงถูกนำมาวิเคราะห์ใหม่ เพราะโลกเสมือนจริงที่กำลังจะมาถึงนี้ถูกมองว่าจะมา ‘เร่ง’ ปรากฏการณ์ที่ AI ฉลาดกว่ามนุษย์ให้เร็วขึ้น! ในบทความเรื่อง “Singularity Is Fast Approaching, and It Will Happen First in the Metaverse” ผู้เขียนได้อธิบายเรื่องแนวคิด Singularity ความเป็นไปได้ของ Metaverse และคาดการณ์ถึงความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในแวดวง AI เมื่อ Metaverse เข้ามาถึง

1) รู้จักกับ Technological Singularity

ในทางฟิสิกส์แล้ว Singularity หรือ ‘ภาวะเอกฐาน’ จะหมายถึงจุดหนึ่งในจักรวาลที่กฎต่างๆ ทางวิทยาศาสตร์พังทลายลงและไม่เป็นจริงอีกต่อไป ส่วนในด้านของเทคโนโลยีนั้น “Techonological Singularity” คือแนวคิดที่ว่า การพัฒนาของเทคโนโลยีได้เติบโตอย่างทวีคูณจนนำไปสู่สถานการณ์ที่ AI ฉลาดกว่าและอยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์

หลายคนมองว่ามนุษย์จำนวนมากจะต้องตกงาน บางคนถึงขั้นคาดการณ์ไว้ว่าผลลัพธ์จะร้ายแรงยิ่งกว่า เพราะหุ่นยนต์จะยึดโลกและมนุษย์จะกลายเป็นพลเมืองชั้นสอง ไม่ต่างจากการที่เราปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตที่ด้อยกว่าในปัจจุบันเลย ในขณะเดียวกัน หลายคนมองว่ามนุษย์จะเรียนรู้จากความผิดพลาดดังที่เราเคยใช้ประโยชน์จาก ‘ไฟ’ 

การค้นพบไฟถือเป็นหมุดหมายสำคัญในประวัติศาสตร์มนุษย์ เราสร้างสิ่งประดิษฐ์มากมาย ปรุงอาหาร และคลายความหนาวได้เพราะไฟ แม้บ่อยครั้งไฟได้สร้างความเสียหายเพราะเราใช้อย่างไม่ระมัดระวัง (เช่น ไฟไหม้) แต่มนุษย์ก็เรียนรู้ที่จะจัดการกับมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ (เช่น สร้างถังดับเพลิงและระบบป้องกันอัคคีภัยในปัจจุบัน) 

เช่นเดียวกัน แม้ AI จะเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง แต่เราจะหาทางในการควบคุมมันให้ได้ และใช้ประโยชน์จากมันอย่างเต็มที่ได้แน่นอน

ไม่ว่าจะมาดีหรือมาร้าย การพัฒนาของ AI ก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลานานอยู่พอสมควร เพราะถึงแม้จะมีการพัฒนาซอฟต์แวร์อย่างรวดเร็ว แต่ตัวฮาร์ดแวร์หรือตัวหุ่นยนต์เองยังไม่สามารถตามทันได้ เรื่องหุ่นยนต์ยึดครองโลกจึงเป็นเรื่องที่ฟังดูไกลตัวเรามาตลอด

แต่การมาถึงของ Metaverse กำลังจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไป

2) โลกเสมือนจริงใบใหม่ที่ชื่อ Metaverse

บางคนมองว่า Metaverse ก็เหมือนโลกในเกม Fortnite หรือเปล่า ส่วนแว่น VR ก็แค่อุปกรณ์เล่นเกมอย่างหนึ่ง จะมามีส่วนเปลี่ยนโลกขนาดนั้นเลยหรือ แต่ถ้าหากเราย้อนดูประวัติศาสตร์ เราจะพบว่าการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่มีจุดเริ่มต้นมาจาก ‘เกม’ ทั้งนั้น ก่อนที่เราจะเริ่มใช้ Google เราล้วนเคยเล่น Super Mario และ Space Invaders มาก่อน

พิสูจน์ได้ว่าเกมก็เป็นแรงบันดาลใจในการเริ่มต้นไอเดียเปลี่ยนโลกมานักต่อนักแล้ว และสิ่งยิ่งใหญ่ต่อจากนี้ก็คือ “Metaverse” นั่นเอง

นักการตลาดวิเคราะห์ว่า Metaverse จะสร้างมูลค่าสูงถึง 8 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2024 ซึ่งถือเป็นมูลค่าที่สูงและน่าจับตามองสำหรับหลายๆ คน ตั้งแต่คนธรรมดาไปจนถึงนักธุรกิจ ความน่าตื่นตากับโอกาสใหม่นี้ทำให้สื่อหลายเจ้าออกมาพูดถึง Metaverse กันเต็มไปหมด

แน่นอนว่าเราเคยได้ยินคำคำนี้ แต่เรารู้หรือเปล่าว่า “ความหมาย” ของ Metaverse คืออะไร

เพราะ Metaverse ยังมาไม่ถึงและมีความเป็นไปได้มากมาย ปัจจุบันเลยยังไม่มีคำนิยามที่ตายตัวนัก แต่ถ้าเรามองว่าอินเทอร์เน็ตแบบที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้คือ “พื้นที่ 2 มิติ” ในการผลิต สื่อสาร แบ่งปันข้อมูล และเชื่อมต่อกับผู้อื่นจากที่ไหนก็ได้ ดังนั้น Metaverse ก็เปรียบเสมือน “เวอร์ชัน 3 มิติ” ของโลกดังกล่าวที่เราสามารถทำอะไรก็ได้ที่เคยทำได้บนโลกอินเทอร์เน็ตทุกวันนี้ แค่ใกล้ชิดกับโลกนั้นมากขึ้นผ่านแว่น VR หรือ AR

พูดง่ายๆ คือการเข้าไปอาศัยอยู่ในโลกอินเทอร์เน็ตนั่นเอง

Advertisements

ที่น่าสนใจคือประสบการณ์สมจริงที่เราได้จากแว่น VR เมื่อเข้าไปอยู่ในโลกเสมือนจริงมากๆ สมองเราจะหลั่งสารต่างๆ ราวกับกิจกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นในชีวิตจริงของเราเลย ไม่ว่าจะเป็นสารเอ็นโดรฟิน เซโรโทนิน และโดปามีน ต่างจากโลกอินเทอร์เน็ตที่เราแยกแยะออกว่าโลกนั้นอยู่แค่ในหน้าจอ

การพัฒนาของ Metaverse ส่งผลกับมนุษย์เราแน่นอน แต่ว่ามันเกี่ยวข้องอะไรกับ AI ล่ะ

3) Metaverse สนามทดลองใหม่ของเทคโนโลยี AI

อย่างที่เกริ่นไปตอนต้นบทความว่า AI จะครองโลกเป็นเรื่องยาก เพราะการที่เราจะสร้างหุ่นยนต์ให้ตอบรับกับซอฟต์แวร์อันล้ำสมัยยังเป็นเรื่องไกลตัว แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีการพัฒนาเลย

เมื่อหลายทศวรรษก่อน ผู้บุกเบิกเทคโนโลยี AI อย่างมาร์วิน มินสกี ได้พูดถึงปรัชญาและทฤษฎีเกี่ยวกับความคิดและสติปัญญาของมนุษย์ไว้ในหนังสือ The Society of Mind ว่า สติปัญญาเริ่มจากชิ้นส่วนที่ ‘ไม่มีปัญญา’ (Mindless) มีปฏิสัมพันธ์กัน จึงเกิดเป็นสติปัญญาขึ้นมา เขามองว่ากระบวนการรู้คิดและโครงสร้างสติปัญญาไม่ได้ถูกจำกัดไว้ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง และไม่ใช่กระบวนการที่แยกกัน แต่เป็นพฤติกรรมรวมหมู่ (Collective Behaviors) สมองอันซับซ้อนของเรานั้นประกอบด้วยเซลล์ประสาทเล็กๆ นับล้านที่สื่อสารกันตลอดเวลา การทำงานร่วมกันของพวกมันเหล่านี้ก่อให้เราเกิดกระบวนการการเรียนรู้ เข้าใจ และตอบสนองได้

ขนาดมนุษย์เราที่ไม่มีปัญญายังผ่านกระบวนการการเรียนรู้จนมีสติปัญญาได้ ทำไม AI ที่เริ่มจากศูนย์เหมือนกันจะพัฒนาจนมีสติปัญญาเฉกเช่นมนุษย์ไม่ได้ล่ะ

หลายคนก็คิดเช่นนั้น ในอดีตจึงมีผู้เชี่ยวชาญทางด้าน AI หลายคนจึงพยายามเลียนแบบการทำงานของสมองมนุษย์โดยใช้ เครือข่ายเซลล์สมองประดิษฐ์ (Artificial Neural Networks; ANNs) แต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จนัก

แต่ในโลกปัจจุบัน เทคโนโลยีระบบประมวลผลแบบนิวโรมอร์ฟิก (Neuromorphic Computing) ได้พัฒนาอย่างก้าวกระโดด ซึ่งระบบนี้ถูกสร้างมาให้ประมวลผล ‘เหมือนสมองมนุษย์’ ซึ่งกระบวนการคิดและความจำถูกรวมกันเป็นหนึ่งเดียว แนวคิดของมาร์วิน มินสกีและผู้บุกเบิกคนอื่นๆ จึงเข้าใกล้ความเป็นจริงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ปัจจุบัน AI ทำงานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพกว่าในอดีต

ยิ่งไปกว่านั้น เทคโนโลยี AI จะยิ่งก้าวหน้าเมื่อทุกคนส่วนใหญ่ย้ายไปใช้เวลาใน ‘โลกเสมือนจริง’ อย่าง Metaverse 

มีการคาดการณ์กันว่า Metaverse จะไม่เป็นเพียงสถานที่ที่ให้ผู้คนเชื่อมต่อกันเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่ให้คน กับ AI หรือ AI กับ AI มีปฏิสัมพันธ์กันอีกด้วย และจะเป็นพื้นที่แรกที่เหล่า AI จะได้ทำพฤติกรรมคล้ายมนุษย์โดยไม่ต้องกังวลเรื่องข้อจำกัดทางด้านร่างกาย (ซึ่งก็คือการสร้างหุ่นยนต์จริงๆ เพื่อตอบสนองต่อซอฟต์แวร์นั่นเอง)

หากเราไปถึงจุดจุดนั้นจริงๆ อนาคตที่ AI จะฉลาดกว่ามนุษย์คงอยู่ไม่ไกลเท่าไรแล้วล่ะ มารอดูกันดีกว่าว่าหาก Metaverse มาถึง เราจะมีโอกาสได้พูดคุยกับ AI (ที่ซ่อนอยู่ใน Avatar มนุษย์) กันบ้างไหม

Mission To The Moon X dtac business

อ้างอิง
https://bit.ly/3IUieO3
https://bit.ly/3pXZpRC
https://bit.ly/3pXZq88
https://bit.ly/3GNeuw1

#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
#metaverse

ติดตามความเคลื่อนไหวและเนื้อหาน่าสนใจอื่นๆ ได้ที่ https://missiontothemoon.co/

Advertisements

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่