ไม่กี่วันที่ผ่านมา Facebook ได้ประกาศวางแผนรีแบรนด์และเปลี่ยนชื่อบริษัท เพื่อก้าวเข้าสู่โลกแห่ง ‘Metaverse’ หรือโลกเสมือนอย่างเต็มรูปแบบ
โดยการผลักดันนี้ไม่ใช่เป็นเพียงการพัฒนาเทคโนโลยีหรือยกระดับบทบาทของโซเชียลมีเดียเท่านั้น แต่ยังเป็นการประกาศว่า Facebook จะเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีที่จะทำให้วิถีชีวิตของเราทุกคนเปลี่ยนแปลงไปโดยปริยาย
นอกจาก Facebook ที่สนใจดึง Metaverse ให้เข้ามามีบทบาทสำคัญในบริษัทแล้ว บริษัทยักษ์ใหญ่อื่นๆ ก็มีความสนใจในสิ่งนี้เช่นกัน เช่น บริษัท Epic Games ผู้ผลิตเกม Fortnite หรือบริษัทพัฒนาเทคโนโลยี Beamable เป็นต้น เห็นแบบนี้แล้ว หลายคนคงสงสัยแล้วว่า ‘Metaverse’ คืออะไร เพราะเหตุใดมันจึงมีความสำคัญต่อบริษัท เพื่อไขข้อสงสัยเหล่านี้ เรามาหาคำตอบไปพร้อมๆ กันเลย!
‘Metaverse’ คืออะไร?
เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างระบบ VR (Virtual Reality) กับ AR (Augmented Reality) เป็นยุคของอินเทอร์เน็ตแบบ 3 มิติ ที่ไม่ใช่แค่สามารถค้นหาข้อมูล หรือดูเนื้อหาความเคลื่อนไหวผ่านหน้าจอ แต่จะเป็นการ ‘ท่อง’ เข้าไปในโลกเสมือนจริงตามความต้องการของเรา ช่องทางนี้จะช่วยให้เราได้ปลดล็อกความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นโอกาสให้เราได้มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์ที่ล้ำหน้าและเป็นจริงยิ่งขึ้น
‘Metaverse’ สำคัญอย่างไรในโลกปัจจุบัน?
ประโยชน์ของ Metaverse มีอยู่หลายด้านด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการพัฒนาด้านเกม ปรับปรุงกระบวนการทำงานให้ซับซ้อนน้อยลง กระตุ้นการซื้อขาย และเพื่อทำความเข้าใจให้เห็นภาพกันมากขึ้น เรามาดูตัวอย่างกันเลยดีกว่า
1) ทำให้สามารถสัมผัสประสบการณ์การเล่นเกม ดูคอนเสิร์ตและการสื่อสารผ่านออนไลน์ที่สมจริงยิ่งขึ้น
Metaverse จะช่วยให้ผู้คนเข้าถึงวัฒนธรรมที่หลากหลายมากขึ้น อย่างวิดีโอเกมของ ‘Fortnite’ และ ‘Roblox’ ที่ได้เพิ่มตัวเลือกให้ผู้เล่นที่แต่งตัวเป็น Lebron James สามารถต่อสู้กับผู้อื่นโดยใช้หน้ากากของตัวละครในหนังสือการ์ตูนอย่าง Deadpool หรือ Joker สิ่งนี้ไม่เพียงทำให้ตัวละครเป็นที่รู้จักมากขึ้น แต่ยังเพิ่มประสบการณ์การเล่นเกมให้มีสีสันขึ้นอีกด้วย
วิดีโอเกมส่วนใหญ่ มักนำเสนอในรูปแบบที่จำกัด โดยเน้นไปที่กลไกของฉาก อย่างการยิงหรือการขับรถ ทว่า การมุ่งพัฒนาแต่ระบบหรือรูปแบบการนำเสนอไม่สามารถสร้างประสบการณ์ผู้เล่นได้อย่างแท้จริง การเชื่อมต่อให้ผู้เล่นสื่อสารกันผ่าน Metaverse จะเป็นการทำให้ผู้เล่นได้แบ่งปันช่วงเวลาแห่งความสนุกสนานกับผู้เล่นคนอื่นๆ ได้เช่นกัน
ในขณะเดียวกัน ธุรกิจด้านการบันเทิงก็ค่อยๆ ปรับรูปแบบไปสู่การท่องโลกเสมือนจริงมากขึ้น เราเริ่มเห็นการจัดคอนเสิร์ตในรูปแบบที่เปลี่ยนไป เป็นการชมคอนเสิร์ตจากบ้านด้วยเทคโนโลยี VR โดยที่เราไม่ต้องออกจากบ้าน ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา คอนเสิร์ตเสมือนจริงของ Ariana Grande ได้รับความนิยามอย่างล้นหลาม โดยมีผู้เข้าชมมากถึง 78 ล้านคนเลยทีเดียว
จากความนิยมการรับชมคอนเสิร์ตในรูปแบบเสมือนจริงที่มากมายเช่นนี้ ทำให้เราเห็นว่า การจัดคอนเสิร์ตรูปแบบใหม่มีแนวโน้มที่จะเติบโตและยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องอย่างแน่นอน ทั้งนี้ ยังมีงานศิลปะ การจัดแสดงนิทรรศการต่างๆ ที่เริ่มเข้าสู่โลกเสมือนเช่นกัน เช่น เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ได้มีการจัด “To The Moon” เทศกาลดนตรีและศิลปะเสมือนจริงครั้งแรกที่ใช้ Ethereum Blockchain เป็นต้น
การนำผลงานศิลปะ ความบันเทิงเข้าสู่เทคโนโลยี Metaverse ทำให้สายผลิตและผู้เสพงานเชื่อมโยงกันมากขึ้น เปิดโอกาสให้เกิดการแลกเปลี่ยน การสื่อสารโดยที่ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง
2) มีสิทธิ์เข้าถึงและถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ
ความนิยมในการครอบครองทรัพย์สินทางดิจิทัลที่เกิดจาก NFT จะเป็นประโยชน์ทั้งตัวผู้ซื้อและผู้ขาย เพราะนอกจากจะทำให้การซื้อขายของสะสม ศิลปะ หรือสินทรัพย์เกิดขึ้นบนโลกดิจิทัลอย่างง่ายดายแล้ว ยังเป็นทางเลือกใหม่ของการลงทุนที่สามารถเก็งกำไรและเพิ่มมูลค่าสินค้าได้ และถึงแม้ว่าธุรกรรมการแลกเปลี่ยนจะเกิดขึ้นบนโลกดิจิทัล แต่มันก็สามารถมอบประสบการณ์เสมือนจริงที่มีความใกล้เคียงกับความเป็นจริงได้
ยกตัวอย่างเช่น Decentraland แพลตฟอร์มสินทรัพย์ NFT แบบ 3D Virtual Reality ผู้ใช้งานสามารถซื้อที่ดินเสมือนจริงพร้อมกับไอเทมอื่นๆ โดยใช้ MANA Token เป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนซื้อขาย LAND NFT ทั้งนี้ ผู้ใช้งานยังสามารถสำรวจโต้ตอบซึ่งกันและกันผ่านโลกเสมือนจริงได้อีกด้วย
นอกจากนี้ Sotheby’s บริษัทผู้จัดการประมูลชั้นนำระดับโลก ได้มีการเปิดแพลตฟอร์มตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยน NFT ที่มุ่งเน้นสร้างการขายและประมูลงานศิลปะดิจิทัลที่ล้ำสมัย โดยมูลค่าการซื้อขายตั้งแต่ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเมื่อ 9 กันยายนที่ผ่านมา NFTs จำนวน 101 รายการจาก Bored Ape Yacht Club ถูกขายด้วยราคาประมูลสูงสุดเป็นประวัติการณ์เป็นจำนวนเงินมากถึง 24.4 ล้านดอลลาร์กันเลยทีเดียว
เราอาจสรุปได้ว่า การซื้อขายแบบ NFT ผลักดันให้สายผลิตและผู้บริโภคมีส่วนร่วมกับผลงานต่างๆ รวมถึงช่วยให้เศรษฐกิจเป็นไปในทิศทางที่คล่องตัวมากขึ้น
3) เพิ่มโอกาสการซื้อขายให้เข้าถึงผู้คนมากขึ้น
เมื่อเราใช้เวลาในโลกเสมือนจริงมากขึ้น เท่ากับว่าแพลตฟอร์มออนไลน์จะเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตเรามากขึ้นเช่นเดียวกัน ซึ่งสิ่งนี้เป็นโอกาสที่ทำให้ร้านค้ามีพื้นที่โฆษณา และการที่ผู้คนเข้าสู่โลกออนไลน์เสมือนจริงยังทำให้บริษัทต่างๆ เข้าถึงฐานข้อมูลของผู้บริโภค สามารถที่จะเก็บข้อมูลผ่านช่องทางเหล่านี้ และนำไปวิเคราะห์และพัฒนาต่อไป
ยกตัวอย่างแบรนด์ที่น่าสนใจอย่าง Gucci ที่ได้เปิดตัวคอลเลกชันสินค้าดิจิทัลแบบ NFT ซึ่งเป็นการใช้ “Direct-to-Avatar (D2A) หรือรูปแบบการขายผลิตภัณฑ์โดยตรงไปยังอวาตาร์ (D2A) โดยทาง Emma Chiu ผู้อำนวยการระดับโลกของ Wunderman Thompson Intelligence กล่าวว่า แพลตฟอร์ม NFT จะทำให้แบรนด์ทราบความสนใจ ปริมาณคนที่เข้าร่วม และกิจกรรมอื่นๆ ที่ผู้คนใช้ในแพลตฟอร์มต่างๆ สิ่งนี้ทำให้เราสามารถประเมินแนวโน้มความต้องการในอนาคตและทำให้แบรนด์ก้าวสู่การเป็นผู้นำเทรนด์
4) ทำให้เราใช้ชีวิตง่ายขึ้น
Facebook ได้เปิดตัวแอป Horizon Workrooms ซึ่งเป็นเทคโนโลยี Virtual Reality เป็นการจำลองห้องประชุมเสมือนจริง ที่จะทำให้เรารู้สึกเหมือนนั่งอยู่ในห้องประชุมจริงๆ สามารถช่วยให้การประชุมออนไลน์สะดวกมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ใครหลายคนต้อง Work From Home
และหากเราต้องการคุยงานกับใครสักคนเพื่อแก้ปัญหา แทนที่จะโทรหาพวกเขาทางโทรศัพท์ เมื่อเชื่อมต่อผ่านระบบ Metaverse เข้ามาได้แล้ว เราจะเห็นจอภาพทั้งหมดที่เราเปิดอยู่บนคอมพิวเตอร์ เห็นหน้าเอกสารหรือโค้ดที่เราเขียนได้ทั้งหมด เป็นเหมือนการยืนข้างโต๊ะทำงานและโต้ตอบกับเรา นอกจากนี้ ยังทำให้เราสามารถเปิดหน้าจอได้มากเท่าที่ต้องการ และรังสรรค์ไอเดียบนกระดาน Whiteboard ได้แบบเรียลไทม์ มีฟังก์ชันปักหมุดภาพที่สนใจไว้บนบอร์ดผ่านคอมพิวเตอร์ ทำให้เราสามารถย้อนกลับมาดูข้อความนั้นได้
แล้วแบรนด์ต่างๆ ควรรับมืออย่างไรกับการมาถึงของ Metaverse?
Michael E. Porter ผู้บริหาร Unilever กล่าวว่า “Metaverse เป็นโลกที่สมบูรณ์แบบ มันจะดึงดูดผู้ใช้ทุกประเภท จะสร้างประสบการณ์และก่อให้ธุรกรรมเชิงพาณิชย์” เขามีจุดยืนว่า เป้าหมายของ Unilever คือการเติบโต เพราะฉะนั้นแบรนด์จึงมองหาวิถีแห่ง Metaverse เพื่อปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์โลก เขายังเล็งเห็นว่า ในอนาคต Metaverse จะเข้ามามีบทบาทในโลกธุรกิจอย่างแน่นอน ดังนั้น ทุกแบรนด์ต้องมีส่วนร่วมกับมัน หากพวกเขาต้องการเติบโตต่อไป
ทว่า การกระโจนใส่เทรนด์เพียงอย่างเดียวไม่ใช่สิ่งที่แบรนด์ควรทำ แบรนด์ต้องพิจารณาความเหมาะสม ความเป็นไปได้ด้วย สำหรับแบรนด์ที่สงสัยว่าตนเองควรจะเริ่มต้นอย่างไร และอยากรู้ว่า Metaverse เหมาะสมกับแบรนด์ของเราหรือไม่?
แบรนด์สามารถเริ่มจากพิจารณาฐานลูกค้าของแบรนด์ ว่าพวกเขาต้องการอะไร และสำรวจพฤติกรรมลูกค้าของแบรนด์ในปัจจุบันจนถึงอนาคต ตรวจสอบว่า Metaverse เข้ามามีบทบาทในชีวิตลูกค้าของเรามากแค่ไหน สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราเห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า แบรนด์ควรปรับเปลี่ยนและเปิดรับ Metaverse มากน้อยเท่าไหร่
เมื่อแบรนด์ตัดสินใจว่าจะนำ Metaverse เข้ามาใช้ในการทำธุรกิจแล้ว ก็ถึงเวลาที่แบรนด์จะต้องลงมือทำ Tessa Conrad ตำแหน่ง Head of Innovation จาก TBWA ได้ให้ความเห็นว่า การที่แบรนด์จะประสบความสำเร็จได้นั้น เกิดจากการเริ่มลงมือทำก่อน และมีเวลาลองผิดลองถูกจนทำให้แบรนด์สามารถเป็นผู้นำเทรนด์ได้ โดยการเริ่มลงมือทำในช่วงแรกนั้นไม่ต้องคิดซับซ้อนมากนัก ผู้นำสมาคมโฆษณา The World Federation of Advertisers ในภูมิภาค APAC กล่าวว่าการถูกมองว่าเป็น ‘คนแรก’ ที่ทำบางสิ่งจะทำให้เป็นที่จดจำของผู้คน
เขายังแนะนำอีกว่า “หากการเคลื่อนไหวครั้งแรกของคุณรอบคอบและทำได้ดี คุณสามารถเพิ่มความคาดหวังที่ผู้บริโภคมีต่อคุณ การเริ่มต้นเป็นคนแรกหมายความว่าคุณจะได้รับการประชาสัมพันธ์มากขึ้น เพื่อมองหาประสบการณ์ที่กว้างขึ้น คุณยังสามารถสำรวจและทดลองเครื่องมืออื่นๆ นอกเหนือจากการใช้ Metaverse ก็ได้เช่นกัน”
ไม่เพียงต้องรีบเดินนำเทรนด์ก่อนใคร เรียนรู้ประสบการณ์จากการลงมือ มองหาคุณค่าใหม่ๆ จากสิ่งรอบตัว แต่ต้องพิจารณาการวางแผนเพื่อความยั่งยืนด้วย แบรนด์ Wills คิดว่าการพัฒนากลยุทธ์ควรทำตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อให้เวลาลองถูกลองผิด และแผนงานการลงทุนนี้ไม่ควรสูงจนเกินไป ละทิ้งงานที่ต้องทำเพียงครั้งเดียว และให้ความสำคัญกับงานที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ระยะยาว ระหว่างทางนี้ เราต้องตรวจสอบด้วยว่าสิ่งที่ทำตั้งอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงและสมเหตุสมผลหรือไม่
แบรนด์ต้องสร้างกลยุทธ์ระยะยาวที่มั่นคง โดยเริ่มจากการทดลองและเรียนรู้ตอนนี้ หาจุดบกพร่องของการดำเนินงานเพื่อแก้ไขและพัฒนา แบรนด์ต้องมองข้ามแบรนด์ตัวอย่างที่มีความคิดเก่าๆ เรียนรู้วิธีสร้างสิ่งที่มีคุณค่า ถอดบทเรียนจากแบรนด์ที่กำลังเป็นผู้นำในวงการ Metaverse สิ่งนี้จะทำให้แบรนด์สามารถเรียนรู้และนำมันไปใช้เป็นแนวทางที่เป็นจริงมากกว่าการมองจากแบรนด์ที่มีความคิดเดิมๆ
การทำความเข้าใจและมีเป้าหมายที่ชัดเจนนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง แบรนด์ควรวัดผล และควรมีแผนรับมือล่วงหน้า ในบางครั้ง อาจเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิด สิ่งที่แบรนด์ควรทำคือการเปิดรับผลลัพธ์ที่แตกต่าง เพราะไม่มีใครรู้ว่าผลลัพธ์ที่ออกมาจะส่งผลต่อแบรนด์อย่างไรในอนาคต การมีความคิดที่ยืดหยุ่นและเปิดกว้างจะเป็นปัจจัยที่ทำให้แบรนด์มีโอกาสประสบความสำเร็จในการใช้ Metaverse
อ้างอิง
https://bit.ly/3pzf3UC
https://bit.ly/3vEbgXd
https://bit.ly/3vBKi2H
https://bit.ly/3C52OTb
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
#marketing
ติดตามความเคลื่อนไหวและเนื้อหาน่าสนใจอื่นๆ ได้ที่ https://missiontothemoon.co/