เมื่อการเติบโตเป็นผู้ใหญ่นั้นช่างขมขื่น จนแทบอยากจะ “หนี” ชีวิตแบบนี้และสถานการณ์ตรงหน้าไปให้พ้นๆ จนบางครั้งก็หวนนึกถึงชีวิตวัยเรียน ที่ถึงแม้จะมีปัญหาเข้ามาทักทายบ้างก็ตาม แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าหนักเกินไปจนกัดกินพลังชีวิตและจิตใจเหมือนที่เป็นอยู่ แต่ทว่า ช่วงวัยเรียนอาจไม่ใช่ความทรงจำที่ดีของทุกคนเสมอไป แม้บางคนอาจชอบเพราะได้ไปโรงเรียน เล่นสนุกกับเพื่อนๆ มีครูที่ดี และครอบครัวที่เอาใจใส่ แต่ก็มีเด็กจำนวนไม่น้อยที่ไม่เคยได้รับโอกาสเหล่านั้น และแทบไม่มีที่พึ่งทางใจใดๆ เลย
เหมือนกับเด็กๆ 7 คนที่ต้องเผชิญชะตากรรมเดียวกันในปราสาทที่ไม่มีที่มาในโลกหลังกระจก ในหนังสือ “หมาป่าโดดเดี่ยว ปราสาทเดียวดาย ในกระจก” ที่นำเสนอเรื่องราวของนักเรียนมัธยมต้นที่มีจุดร่วมเดียวกันคือ “ไม่ไปโรงเรียน” แล้ววัยเรียนของทุกคนเป็นอย่างไร? ในช่วงเวลานั้นมีใครเคยตกอยู่ในสถานการณ์บางอย่างที่สร้างความลำบากใจจนทำให้ไม่สามารถไปโรงเรียนได้ไหม?
ในบทความนี้ เราจึงอยากชวนทุกคนมาค้นหาคำตอบ เข้าใจบางสิ่งที่อาจมองข้ามไป และเปิดมุมมองใหม่ๆ เพื่อเข้าใจถึงปัญหาและความรู้สึกทั้งของตัวเอง คนรอบข้าง รวมถึงเป็นกระบอกเสียงให้เด็กๆ ที่กำลังจะเติบโตต่อไป ผ่านข้อคิดดีๆ จากหนังสือเล่มนี้กัน
รู้จักหนังสือ “หมาป่าโดดเดี่ยว ปราสาทเดียวดาย ในกระจก”
หนังสือนวนิยายญี่ปุ่นเรื่อง “หมาป่าโดดเดี่ยว ปราสาทเดียวดาย ในกระจก (Lonely Castle in the Mirror)” เป็นหนึ่งในผลงานมาสเตอร์พีซของ “สึจิมุระ มิซึกิ” นักเขียนชาวญี่ปุ่นที่ชื่นชอบงานเขียนแนวลึกลับและวรรณกรรมสำหรับเด็ก และยังได้รับรางวัล Japan Booksellers’ Award ในปี 2018 อีกด้วย
เมื่อได้อ่านจบก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงเป็นนิยายที่มียอดขายกว่าหนึ่งล้านเล่ม และทุกคนต่างแนะนำเป็นเสียงเดียวกันว่าควรค่าแก่การอ่าน เพราะคุณมิซึกิได้เล่าเรื่องราวของเด็กมัธยมต้นกลุ่มหนึ่งที่ไม่ไปโรงเรียน การเปลี่ยนผ่านช่วงวัย รวมถึงปัญหาต่างๆ ที่ต้องเผชิญ และนำมาผูกเข้ากับความเป็นแฟนตาซีได้อย่างลงตัวมากๆ ไหนจะเป็นหน้าปกที่ชวนสะดุดตา ชื่อเรื่องที่ชวนให้ค้นหา และคำโปรยที่ทำให้อยากรู้ว่าเรื่องราวจะดำเนินต่อไปอย่างไร รวมถึงสำนวนการแปลของ คุณบัณฑิต ประดิษฐานุวงษ์ ก็ยิ่งทำให้อ่านเพลินจนแทบวางไม่ลง จนความหนากว่า 600 หน้าไม่ใช่อุปสรรคแต่อย่างใด
เพราะเราไม่ได้ตัวคนเดียวโดดเดี่ยวเดียวดายบนโลกใบนี้
“หมาป่าโดดเดี่ยว ปราสาทเดียวดาย ในกระจก” หรือ “Lonely Castle in the Mirror” เป็นนิยายที่เล่าเรื่องราวของเด็ก 7 คนที่ไม่ไปโรงเรียน ซึ่งไม่ได้เป็นเพราะความขี้เกียจแต่อย่างใด แต่ด้วยปัจจัยและปัญหาส่วนตัวของแต่ละคนจึงไม่สามารถไปโรงเรียนได้ ซึ่งเรื่องราวส่วนใหญ่ได้เล่าผ่านมุมมองของ “อันไซ โคโคโระ” หนึ่งในนักเรียนที่มีปัญหาบางอย่าง อย่าว่าแต่การไปโรงเรียนเลย เพียงแค่ก้าวขาออกจากบ้านก็เป็นเรื่องยากสำหรับโคโคโระแล้ว
และวันหนึ่ง กระจกบานใหญ่ในห้องเปล่งแสงออกมา เธอจึงตัดสินใจเอื้อมมือแตะเข้าไปในกระจก เมื่อรู้ตัวอีกทีก็พบว่าปลายทางของโลกหลังกระจกมีปราสาทปริศนาไร้ที่มา ซึ่งมีผู้ดูแลคือ “คุณหมาป่า” พร้อมเด็กวัยใกล้เคียงกันอีก 6 คน ที่กำลังเผชิญชะตากรรมเดียวกัน โดยพวกเขาต้องตามหา “กุญแจ” และ “ห้องปรารถนา” เพราะคนที่เจอคนแรกจะสามารถขอพร 1 ข้อ แล้วหนึ่งคำขอในโลกหลังกระจก จะเปลี่ยนโลกแห่งความจริงไปตลอดกาล
แล้วเรื่องราวจะดำเนินไปอย่างไร ทำไมพวกเขาถึงไม่ไปโรงเรียน? ใครจะพบกุญแจ ห้องปรารถนา และได้ขอพรเป็นคนแรก? ลองไปหาอ่านและค้นหาคำตอบด้วยตัวเองกัน เชื่อว่าหนังสือเล่มนี้จะกลายเป็นหนึ่งในหนังสือในดวงใจของหลายคนแน่นอน
ข้อคิดจากหนังสือ หมาป่าโดดเดี่ยว ปราสาทเดียวดาย ในกระจก
1. อย่าลดทอนความเป็นมนุษย์ของคนอื่น
การกลั่นแกล้ง (Bullying) และปัญหาความรุนแรงในครอบครัว (Domestic Violence) เป็นปัญหาสังคมที่เรื้อรังมายาวนาน ไม่ค่อยได้รับความสนใจ และการแก้ไขอย่างตรงจุดเท่าที่ควร มิหนำซ้ำ คนที่รู้เห็นเหตุการณ์กลับปล่อยผ่าน เลือกไม่เข้าไปยุ่ง เพราะคิดว่าเป็นเรื่องแค่นี้เองหรือไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นคำพูด การกระทำ หรือแม้แต่การละเลยไม่ใส่ใจ สิ่งเหล่านี้ล้วนสร้างบาดแผลทั้งกายและใจให้เหยื่อในระยะยาว
เหมือนกับเด็กๆ ในหนังสือเล่มนี้ ที่เป็นเหยื่อความรุนแรงในครอบครัวและการกลั่นแกล้งในโรงเรียน พวกเขาโดนละเลยและลดทอนความเป็นมนุษย์ ทำให้ต้องสูญเสียช่วงเวลาดีๆ และความสดใสในวัยเด็กที่ควรค่าแก่การจดจำไป
2. อย่าตัดสินคนจากภายนอก
บ่อยครั้งเรามักจะตัดสินบางสิ่งบางอย่างจากความรู้สึกของตัวเอง โดยที่ยังไม่ทันได้คุ้นเคยหรือรู้จักเพียงพอ แต่ก็ด่วนตัดสินไปแล้วด้วยบรรทัดฐานทางสังคม (Norm) และอคติทางความคิด (Cognitive Bias) ของตัวเองไปก่อน เหมือนกับความคิดของครูประจำชั้นของโคโคโระ ที่เข้าข้างและแสดงความเห็นอกเห็นใจคนที่ทำผิด เพียงเพราะว่าเด็กคนดังกล่าวเป็นคนสดใส ร่าเริง เข้ากับคนอื่นได้ง่าย แต่กลับมองข้ามและไม่ค่อยรับฟังความรู้สึกของเหยื่อเท่าที่ควร
3. อย่าเก็บเรื่องแย่ๆ ไว้คนเดียว
ถึงแม้โลกใบนี้จะใจร้ายกับเรา แต่อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้ตัวคนเดียว โดดเดี่ยว และเดียวดายเพียงลำพัง เพราะมีคนพร้อมเข้าใจ รับฟัง หาทางออก และต่อสู้ไปพร้อมๆ กัน อีกทั้งทุกปัญหามีทางออกเสมอ เช่น คำพูดของแม่ของโคโคโระที่บอกว่า “มาสู้กันนะ มาสู้ไปด้วยกัน แม้จะเป็นการต่อสู้ที่ยาวนาน” หรือการกระทำของเด็กๆ ในปราสาท ที่ต่างเป็นคนแปลกหน้า ไม่รู้จักกันในโลกแห่งความเป็นจริง แต่ก็พร้อมที่จะอยู่เคียงข้าง รับฟังปัญหา และช่วยหาทางออก เพื่อช่วยยืนยันว่าทุกคนไม่ได้เผชิญปัญหาเพียงลำพัง
4. อย่ากังวลกับความคิดคนอื่นมากไป
คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตส่วนใหญ่มักจะไม่มาสนใจชีวิตของคนอื่นเท่าไร เพราะมักจะเอาเวลาไปทำเรื่องที่มีประโยชน์และช่วยพัฒนาตัวเองมากกว่า ดังนั้น เราไม่จำเป็นต้องเก็บทุกอย่างในชีวิตมาใส่ใจ หากคำพูดหรือการกระทำใดๆ ของคนอื่นไม่ได้ช่วยให้ชีวิตดีขึ้นก็ปล่อยให้มันผ่านไป เหมือนกับที่ “คุณหมาป่า” พูดกับเด็กๆ ทั้ง 7 คนหลังรู้ความจริงบางอย่างว่า “พวกเธอกังวลกับความคิดของคนอื่นที่มีต่อตัวเองมากเกินไป”
5. อย่าลืมความเป็นจริง
ชีวิตของเราอยู่ด้วยความหวัง จึงไม่ผิดที่เราจะมีความฝัน มีการวางแผนอนาคต ตลอดจนการเฝ้ารอคอยให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้น แต่อย่าลืมที่จะใช้ชีวิตบนพื้นฐานแห่งความเป็นจริง เพราะความจริงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ไม่ว่าเราจะหนีเท่าไรก็ตาม แต่เราไม่สามารถหนีความจริงได้
6. อย่าทิ้งการเรียน
การเรียนคือสิ่งสำคัญและมีค่าอย่างมาก ถ้ามีโอกาสได้เรียนแล้วควรทำให้เต็มที่ เพราะจะช่วยเป็นใบเบิกทางและต้นทุน ทำให้ได้รับโอกาสและมีทางเลือกใหม่ๆ เข้ามาในชีวิต สามารถทำในสิ่งที่ชอบและสนใจได้อย่างไม่จำกัด และการเรียนรู้สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดชีวิต เหมือนกับที่ครูคิตาจิมะพูดว่า “จะเรียนไม่เก่งก็ไม่เป็นไร แต่อย่าทิ้งการเรียน”
7. อย่าปล่อยปัญหาทิ้งไว้
เมื่อเกิดการไม่เข้าใจกันจนทำให้ปัญหาบานปลาย ควรรีบปรับความเข้าใจให้เร็วที่สุด ไม่ควรปล่อยปัญหาทิ้งไว้และให้เวลาล่วงเลยผ่านไป เพราะจะยิ่งทำให้รอยร้าวที่แตกหักกลับมาต่อกันได้ยากหรือไม่สามารถต่อได้อีก และอาจไม่มีโอกาสได้ปรับความเข้าใจกันอีกเลย เช่น หากใครคนใดคนหนึ่งในปราสาทไม่พอใจคำพูดหรือการกระทำใดๆ ทุกคนก็กล้าที่จะพูดออกมา เพื่อเคลียร์ปัญหาให้จบ ไม่ปล่อยไว้นาน ซึ่งช่วยให้ความสัมพันธ์และมิตรภาพดีๆ เกิดขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ
8. อย่าครอบงำชีวิตคนอื่น
แม่ของริออนพูดว่า “ความคิดของเด็กประถมก็เหมือนความคิดของพ่อแม่นั่นแหละ”
ริออนได้แต่คิดในใจว่า “เด็กประถมก็มีความคิดเป็นของตัวเอง รู้ว่าอะไรทำให้มีความสุขและทุกข์”
ทุกคนต่างมีความคิด ความฝัน และความต้องการเป็นของตัวเอง จึงไม่ควรไปยัดเยียดหรือบงการให้คนอื่นมีความคิดหรือชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ อีกทั้งเราก็ไม่ควรทิ้งความฝันและความต้องการของตัวเอง เพื่อทำตามสิ่งที่คนอื่นปรารถนา
เนื้อหาอื่นๆ ที่น่าสนใจ
– ยังวิ่งตาม Passion ได้อยู่ไหม? เข้าใจวิกฤตชีวิตคนวัย 30 ผ่านหนัง ‘Tick, tick…BOOM!’: https://bit.ly/3hpcuzo
– ชีวิตที่สมบูรณ์แบบมีจริงไหม? ค้นหาความหมายของการมีชีวิตอยู่ กับหนังสือ ‘The Midnight Library’: https://bit.ly/3M1o0iq
อ้างอิง:
– หนังสือ “หมาป่าโดดเดี่ยว ปราสาทเดียวดาย ในกระจก” (Lonely Castle in the Mirror) โดย สึจิมุระ มิซึกิ
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
#inspiration