- ทาริค ฟาริด และครอบครัวอพยพมาจากปากีสถาน เมื่อตอนเป็นเด็ก เขาช่วยเหลือครอบครัวโดยการทำงานพาร์ทไทม์ทุกอย่าง จนวันหนึ่งได้ทำงานในร้านดอกไม้ วันหนึ่งที่มีร้านดอกไม้เจ๊ง และประกาศขายอุปกรณ์ต่างๆในร้าน พ่อของเขายืมเงินมาซื้ออุปกรณ์พวกนั้น และเขาเริ่มทำธุรกิจร้านดอกไม้ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา
- วันหนึ่งเขามีไอเดียการนำผลไม้มาจัดเหมือนการจัดดอกไม้ และตั้งใจว่าจะให้มันกลายเป็นธุรกิจที่จริงจังและสามารถเติบโตได้ แม้คนรอบข้างจะมองว่ามันไม่ได้ผล แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็ทำธุรกิจนั้นอย่างจริงจัง และมีลูกค้าหลายคนที่ชื่นชอบการจัดผลไม้ของเขาจนกระทั่งมีคนมาขอซื้อแฟรนไชส์จนสามารถขยายกิจการไปได้ทั่วโลก
มีน้องที่ออฟฟิศให้ผมลองฟังพอดแคสท์รายการหนึ่งชื่อ how I built this ซึ่งเป็นรายการเกี่ยวกับ นักนวัตกรรม (innovators) ผู้ประกอบการ (entrepreneur) และ นักอุดมการณ์ (idealist) พูดคุยถึงเบื้องหลังวิธีคิดเกี่ยวสิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นมา
ช่วงเช้าระหว่างที่ผมออกกำลังกายผมเลยเลือกกดฟังเรื่องราวของ ทาริค ฟาริด (Tariq Farid) เขาเป็นหนึ่งในห้าพี่น้องของครอบครัวที่อพยพมาจากปากีสถาน โดยพ่อของเขามีอาชีพช่างยนต์ และทำงานในช่วงเวลากลางคืนที่เบอร์เกอร์คิง
ตัว ทาริค ฟาริด ตอนนั้นตอนอายุ 12 และยังพูดภาษาอังกฤษไม่เป็นเลย เขาพยายามช่วยเหลือครอบครัวเขาทุกทางตั้งแต่ยังเด็ก เขาทำงานทุกอย่างตั้งแต่ส่งหนังสือพิมพ์ กวาดหิมะ และวันนึงเขาก็ได้ทำงานในร้านดอกไม้
ตอนนั้นเขาอายุ 13 ปี เขาทำทุกอย่างในร้านตั้งแต่ ส่งของ จัดของ ดูแลดอกไม้ จัดดอกไม้ รับออเดอร์ ไปจดถึงคิดเงิน ฯลฯ ทำให้เขาได้เรียนรู้อะไรมากมายกับการทำงานที่ร้านดอกไม้นี้
พอถึงอายุ 14 เขารู้เรื่องการบริหารร้านดอกไม้เยอะมาก ส่วนนึงมาจากการที่เจ้าของร้านดอกไม้นั้นไม่หวงวิชาและสอนแทบทุกมุมของการบริหารร้านดอกไม้ให้เขา
พ่อของทาริคนั้นฝันอยากมีธุรกิจของตัวเองมาตลอด ทาริคเล่าว่าตอนเขาอายุ 17 ปี พ่อของเขาอยากเปิดแฟรนไชส์ของร้านซับเวย์แต่เงินไม่พอ
วันหนึ่งก็มีร้านดอกไม้ร้านหนึ่งซึ่งเจ๊ง และต้องการขายอุปกรณ์ต่างๆในร้าน โดยเสนอขายของทั้งหมดในราคาแค่ 6,000 เหรียญเท่านั้นเอง พ่อของเขาจึงยืมเงิน 6,000 เหรียญจากนายของเขาเพื่อมาเริ่มธุรกิจนี้
เริ่มต้นจากร้านเล็กๆ
แม้มันจะเป็นร้านดอกไม้ที่มีขนาดเล็กมากๆ แต่มันยอดเยี่ยมสำหรับครอบครัวทาริคเพราะราคามันถูก สิ่งที่ทาริคพยายามทำในช่วงแรกๆของการทำธุรกิจร้านดอกไม้ของเขาคือ เขาโฟกัสพลังงานไปที่ การบริการลูกค้า
ยกตัวอย่างเช่นร้านดอกไม้ส่วนใหญ่จะปิด 5 โมงเย็น แต่ร้านของเขาจะเปิดถึง สองทุ่มหรือดึกกว่านั้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้า ซึ่งมีลูกค้าจำนวนมากที่ชอบเพราะพวกเขาเพิ่งเลิกงานกัน
หลังจากนั้นเขาก็จะเริ่มมีลูกค้าประจำ พอมีลูกค้าประจำ ทาริคก็จะเริ่มพยายามทำความเข้าใจว่าลูกค้าประจำเหล่านั้นชอบอะไรเป็นพิเศษ
มีลูกค้าประจำคนนึงที่เข้ามาซื้อดอกไม้ให้กับคู่หมั้นเขาทุกสัปดาห์เป็นเวลาหลายเดือน จนวันนึงลูกค้าคนนี้ก็เข้ามาแล้วบอกว่า เขากำลังจะแต่งงานและอยากให้ทาริคจัดดอกไม้ในงานแต่งานให้เขา
ทาริค ตอบไปตามความจริงว่า
“ผมไม่เคยจัดดอกไม้ในงานแต่งงานเลยครับ”
ลูกค้าคนนั้นตอบกลับมาว่า
“ผมก็ไม่เคยแต่งงานเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราเหมือนกัน ไม่ต้องห่วง”
และทาริคก็ได้ไปจัดดอกไม้ในงานแต่งงานให้ลูกค้าคนนี้
หลังจากนั้นธุรกิจการจัดดอกไม้งานแต่งงานก็เริ่มเข้ามาและมันก็ใหญ่มากด้วย
ณ จุดนี้ ทาริคยังอยู่มัธยมอยู่เลยนะครับ ดังนั้นระหว่างวันเขาจึงต้องจ้างลูกจ้างเพื่อรับออเดอร์ และกลับมาตอนบ่ายโมงหลังโรงเรียนเลิกเพื่อจัดดอกไม้และส่งดอกไม้ให้ลูกค้า
ถึงตอนนี้เขาอยากจะขยายร้านที่สองและแน่นอนเขามีเงินไม่พอ
เขาจึงเขียนแผนธุรกิจเพื่อไปขอกู้เงินกับธนาคาร และแน่นอนธนาคารปฏิเสธเขา
ตอนนั้นทาริคอายุ 18 ปี ช่วงนี้ของชีวิตเขาก็ผ่านอะไรมาหลายอย่าง ขยายธุรกิจไปตามกำลังที่เขาสามารถทำได้
วันหนึ่งเขาก็เกิดไอเดียจากการเห็นคนจัดผลไม้ ให้เป็นรูปลักษณ์สวยๆ แล้ว ทาริคก็พยายามคิดว่าจะทำยังไงให้ธุรกิจนี้ไม่เป็นแค่ธุรกิจเล็กๆ แต่กลายเป็นธุรกิจจริงจังที่สามารถเติบโตได้อย่างจริงจัง
เขาเลยเริ่มทำเลย โดยเอาผลไม้อย่าง แคนตาลูป เมล่อน สตอเบอรรี่ มาแกะให้เป็นรูปดอกไม้และจัดมันเหมือนการจัดดอกไม้ปกติ โดยทดลองทำอะไรแปลกๆไปเรื่อย
นี่คือจุดเริ่มต้นของ edible arrangements (เอ็ดดิเบิ้ล อเรนจ์เมนท์)
เขาเริ่มทดสอบไอเดียของเขาโดยลองส่งให้เพื่อนๆดู ซึ่งเพื่อนๆของเขาส่วนใหญ่บอกว่า
ไอเดียนี้มันไม่ได้ผลหรอก
เราลองหยุดคิดประเด็นนี้กันดูนิดหนึ่งครับ
ทีนี้ลองถามตัวเองดูว่าถ้าคุณเป็นนักลงทุนแล้วมีคนมาเสนอไอเดีย เรื่องการขายแว่นออนไลน์อย่าง วอร์บี พาร์คเกอร์ (Warby Parker) หรือแอปเรียกรถอย่างลิฟท์ (Lyft) คุณอาจจะมีแนวโน้มที่อยากจะสนใจลงทุนบ้าง
แต่ไอเดียในการขายผลไม้ตัดแต่งเป็นรูปดอกไม้ แล้วจัดเป็นเหมือนช่อหรือกระถางดอกไม้
อืมมมม ขอผ่านดีกว่า ใช่ไหมครับ
คนส่วนใหญ่รวมถึงตัว ทาริค ก็คิดประมาณนั้นแหละครับ แม้แต่พ่อของเขายังกังวลกับไอเดียนี้มาก ถึงขนาดว่าต้องเอาเพื่อนซึ่งเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยมาพยายามโน้มน้าวให้ ทาริค เลิกคิดจะทำธุรกิจนี้ซะ โดยเพื่อนของพ่อเขาคนนี้พูดว่า
“ผมแนะนำให้คุณทุ่มเทเวลาในการทำงานไปกับธุรกิจร้านดอกไม้ซึ่งประสบความสำเร็จมากอยู่แล้วจะดีกว่า”
ทาริค เริ่มทำ edible arrangement อย่างจริงจังช่วงก่อนเทศกาลอีสเตอร์เล็กน้อย เขาส่งโบรชัวร์ออกไปแล้วก็จะมีคนโทรเขามาถามว่า ไอ้เจ้าสิ่งนี่มันมีขายจริงๆใช่ไหม
เขาได้ออเดอร์ทั้งหมด 28 ออเดอร์ก่อนอีสเตอร์
มันจะออกมาดีจริงๆเหรอ?
สิ่งที่ลูกค้ามีคำถามและเป็นห่วงที่สุดคือ “มันจะออกมาดีจริงๆเหรอ?”
และจากจุดนี้ พันธกิจของทาริคก็เกิดขึ้น
ทาริค บอกกับลูกค้าทั้งหลายว่า
“ผมรับประกันเลยว่าคนที่ได้รับของต้องโทรกลับมาแล้วบอกว่า ว้าว”
“ถ้าคนที่ได้รับไม่บอกว่า ว้าว คุณโทรกลับมาหาผมได้เลย ผมจะคืนเงินให้คุณ 100%”
ทาริคไม่เคยต้องคืนเงินให้ลูกค้าคนไหนเลย เพราะลูกค้าของเขาชอบ edible arrangement มาก
วันนึงก็มีผู้ชายจากบอสตันเดินเข้ามาในร้านแล้วถาม ทาริค ว่า “เขาขอซื้อแฟรนไชส์ได้ไหม” และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการขยายกิจการ
ทุกวันนี้ edible arrangements มี 1,200 สาขา ใน 10 ประเทศทั่วโลก และมียอดขายปีละ 600 ล้านเหรียญ หรือกว่า 20,000 ล้านบาท
บทเรียนที่มีค่ามากที่สุดที่ผมได้จากการฟังพอดแคสท์วันนี้ ไม่ใช่เรื่องมูลค่าของธุรกิจที่ทาริค สร้างหรืออะไรต่างๆครับ แต่มันคือเรื่องนี้ครับ
มีอยู่ตอนนึง กาย ราซ ผู้สัมภาษณ์ถามทาริคว่า
“คุณพร้อมสำหรับการยอมรับว่าตัวเองผิดไหม?”
ทาริค ตอบว่า
เขาพร้อมเสมอที่จะยอมรับว่าตัวเองผิด และเขาได้เรียนรู้มานานมากแล้วว่า
คมกริบ