ถ้าคุณกำลังนั่งอ่านบทความนี้อยู่ ลองหยิบกระเป๋าเครื่องสำอางของคุณขึ้นมาดูสักครู่ แล้วนับว่ามีผลิตภัณฑ์แบรนด์ไทยกี่ชิ้น? หลายคนอาจจะกำลังคิดว่า “แบรนด์ไทย? จะดีจริงหรือ? จะสู้แบรนด์ต่างชาติได้หรือไม่?”
แต่คุณเชื่อหรือไม่ว่า วันนี้มีสกินแคร์แบรนด์ไทยหลายแบรนด์ที่คุณภาพไม่แพ้หรืออาจจะดีกว่าแบรนด์ต่างประเทศ และหนึ่งในนั้นคือ “ศรีจันทร์” แบรนด์ที่หลายคนอาจคิดว่ารู้จักดี แต่อาจไม่รู้ว่าพวกเขาเติบโตจากร้านยาเล็กๆ ในซอย จนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดความงามที่ครองใจคนไทยมาอย่างยาวนาน
วันนี้ Mission To The Moon มีโอกาสได้พูดคุยกับ รวิศ หาญอุตสาหะ CEO คนปัจจุบันของศรีจันทร์และ Mission To The Moon Media ทายาทรุ่นที่ 3 ผู้พลิกโฉมธุรกิจครอบครัวอายุมากกว่า 70 ปี จนกลายเป็นแบรนด์ที่ทุกคนรู้จักกับแป้งม่วงในตำนาน และล่าสุดกับ Srichand Skin Moisture Burst Gel Cream ที่ครองอันดับ 1 ในตลาด
ผู้ติดตาม Mission To The Moon หลายคนอาจคุ้นเคยกับรวิศในฐานะ Podcaster ผู้เป็นนักเล่าเรื่อง แต่วันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักเขาในบทบาทของทายาทรุ่นที่ 3 ผู้พลิกโฉมธุรกิจครอบครัวจากร้านยาเล็กๆ สู่แบรนด์ความงามระดับประเทศ ผ่านเรื่องราวการเดินทางที่ไม่เคยถูกวางแผนไว้ การตัดสินใจที่ท้าทาย และวิสัยทัศน์ที่ผลักดันให้แบรนด์ไทยก้าวไกลระดับสากล
กว่าจะมาเป็น CEO ศรีจันทร์
หลายคนรู้จักรวิศ หาญอุตสาหะ ในฐานะ CEO ของศรีจันทร์และ Mission To The Moon Media แต่น้อยคนจะรู้ว่าเส้นทางชีวิตของเขาไม่ได้ถูกวางแผนมาให้เป็นผู้สืบทอดธุรกิจตั้งแต่แรก ในวัยเด็ก รวิศเติบโตมาพร้อมกับความฝันที่จะเป็นนักบินอวกาศและนักเขียนการ์ตูน ความสนใจของเขาในตอนนั้นอยู่ห่างไกลจากธุรกิจครอบครัวโดยสิ้นเชิง
เมื่อถึงเวลาเลือกเรียนต่อมหาวิทยาลัย คุณแม่เป็นผู้ตัดสินใจพาไปสมัครคณะวิศวกรรมศาสตร์ให้ และเมื่อต้องเลือกสาขา เขาก็ตัดสินใจตามเพื่อนไปเรียนวิศวกรรมไฟฟ้า การเรียนในคณะวิศวะไม่ใช่ช่วงเวลาที่ง่ายนัก รวิศยอมรับว่าต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการเรียนให้จบ จนถึงทุกวันนี้ เขายังฝันร้ายเกี่ยวกับการเรียนในครั้งนั้น แม้จะไม่ได้มีความสุขกับการเรียนมากนัก แต่เขาได้กระบวนการทางความคิดและตรรกะติดตัวมา ซึ่งกลายเป็นพื้นฐานสำคัญเมื่อต้องก้าวเข้ามารับช่วงต่อธุรกิจครอบครัว
หลังจบการศึกษา รวิศเริ่มต้นทำงานที่ธนาคารแห่งหนึ่งในประเทศไทย ชีวิตดำเนินไปตามปกติจนกระทั่งวันหนึ่ง คุณแม่โทรมาขอให้ไปรับคุณปู่ไปโรงพยาบาล ระหว่างที่นั่งรอ เขาเกิดความรู้สึกว่า “ต้องทำอะไรสักอย่าง” กับธุรกิจครอบครัว
การตัดสินใจครั้งนั้นไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ รวิศเลือกที่จะปรึกษาหัวหน้างานที่ธนาคาร และได้รับคำแนะนำที่เรียบง่ายว่า “ให้ลองลาออกไปลองทำดูสักปี ถ้าไม่เวิร์กค่อยกลับมาใหม่” คำแนะนำนี้ทำให้เขามองเห็นว่าการตัดสินใจครั้งนี้ไม่ได้ยาก หรือเป็นปัญหาโลกแตกอย่างที่คิด
รากเหง้าของศรีจันทร์ ประวัติศาสตร์ที่มากกว่าร้านขายยาธรรมดา
ศรีจันทร์สหโอสถมีประวัติที่น่าสนใจ โดยมีจุดเริ่มต้นจากร้านขายยาในซอยคนจีน ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์หลายครั้ง รวิศเล่าว่า จริงๆ แล้วรู้จักศรีจันทร์จากผงหอมศรีจันทร์ที่วางอยู่ที่บ้าน แต่ไม่ได้รู้ที่มาที่ไปของธุรกิจมากนัก เพราะคุณปู่เป็นคนค่อนข้างจริงจังและอนุรักษ์นิยม ทำให้การทำธุรกิจจึงเป็นไปอย่างระมัดระวัง ไม่ค่อยได้ขยายกิจการมากนัก แม้แต่คุณพ่อของรวิศเองก็รู้สึกว่าคุณปู่ดุ จึงไปทำอาชีพอื่นแทน
ความน่าสนใจของร้านศรีจันทร์สหโอสถในยุคนั้นคือ แม้จะตั้งอยู่ในซอยคนจีน แต่กลับเป็นร้านที่ขายสินค้าราคาไม่แพง ใช้งานง่าย เข้าถึงได้สำหรับคนทั่วไป จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อผลิตภัณฑ์ “ผงหอมศรีจันทร์” ได้รับความนิยมอย่างมาก จนต่อมาได้พัฒนาเป็น “แป้งศรีจันทร์” หรือที่คนรู้จักในชื่อ “แป้งม่วง”
จนถึงวันที่คุณปู่อายุ 80 กว่าปี ท่านก็ยังคงดูแลกิจการด้วยตัวเอง และมาทำงานทุกวัน รวิศยังจำวันแรกที่เข้ามาทำงานได้ คุณปู่ยังคงทำงานอยู่ที่ร้าน และนั่นเองที่ทำให้เขาเห็นว่าธุรกิจครอบครัวนี้ต้องการการสานต่อและพัฒนา
เมื่อมองย้อนกลับไป ศรีจันทร์ไม่ได้เป็นเพียงร้านขายยาธรรมดา แต่เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ในประเทศไทย และเป็นตัวอย่างของธุรกิจที่เติบโตมาจากการให้ความสำคัญกับการเข้าถึงได้ของผู้บริโภค โดยไม่ทิ้งคุณภาพและความน่าเชื่อถือ ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้แบรนด์ศรีจันทร์ยังคงแข็งแกร่งมาจนถึงทุกวันนี้
การเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่จากเครื่องสำอางสู่สกินแคร์
การก้าวสู่ตลาดสกินแคร์ของศรีจันทร์เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ภายใต้การบริหารของรวิศ พวกเขาเริ่มมองเห็นโอกาสใหม่จากการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค คนรุ่นใหม่หันมาให้ความสำคัญกับการดูแลผิวมากขึ้น และต้องการผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย การมีแค่แป้งม่วงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพออีกต่อไป
แต่การก้าวเข้าสู่ตลาดใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะเมื่อแบรนด์ถูกจดจำในฐานะผู้ผลิตแป้งฝุ่นและผงหอมมาอย่างยาวนาน รวิศเล่าว่าเมื่อเริ่มเปิดตัวสกินแคร์ แม้ผู้บริโภคจะกล้าลองใช้เครื่องสำอางของศรีจันทร์ แต่กลับลังเลที่จะทดลองใช้สกินแคร์
“มันเป็นธรรมชาติของผลิตภัณฑ์ที่ต่างกัน” รวิศอธิบาย “เครื่องสำอางอย่างแป้ง คุณใช้ปุ๊บเห็นผลปั๊บ แต่สกินแคร์ต้องใช้เวลา ต้องรอดูว่าแพ้หรือไม่ ผลลัพธ์ดีจริงไหม บางคนอาจต้องใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะเห็นความเปลี่ยนแปลง”
ช่วงแรกของการเปิดตัวสกินแคร์ มีหลายผลิตภัณฑ์ที่เกือบจะไม่ได้ไปต่อ เพราะยอดขายไม่เป็นไปตามเป้าหมาย แต่ศรีจันทร์เลือกที่จะอดทนและให้เวลากับตลาด พร้อมทั้งพัฒนาสูตรและคุณภาพอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุด ผู้บริโภคเริ่มพูดถึงสกินแคร์ของศรีจันทร์ในแง่บวก
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อ Skin Moisture Burst Gel Cream ได้รับการตอบรับที่ดีเกินคาด จนก้าวขึ้นมาครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ความสำเร็จนี้ไม่เพียงตอกย้ำการตัดสินใจที่จะขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ แต่ยังพิสูจน์ให้เห็นว่าแบรนด์ไทยสามารถแข่งขันกับแบรนด์ต่างชาติได้ ด้วยคุณภาพที่ไม่เป็นรองใคร
“บทเรียนสำคัญที่ได้จากการขยายธุรกิจครั้งนี้คือ การสร้างความเชื่อมั่นต้องใช้เวลา” รวิศกล่าว “แต่ถ้าเราเชื่อมั่นในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ และมีความอดทนพอ ความสำเร็จก็ไม่ได้ไกลเกินเอื้อม”
บทเรียนจากศรีจันทร์ ถอดรหัสความสำเร็จสู่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่
รวิศเชื่อว่าปี 2024-2025 จะเป็นช่วงที่ท้าทายสำหรับผู้ประกอบการไทย “มันไม่ง่ายเลย และปีหน้าก็จะยิ่งไม่ง่าย” แต่สิ่งที่เขาค้นพบจากการบริหารศรีจันทร์คือ เมื่อเรารู้ว่าเราอยากจะทำธุรกิจไปเพื่ออะไร ทุกอย่างจะง่ายขึ้นเยอะ
“ลองถามตัวเองดู ถ้ามีโปรดักต์ที่ไม่ตรงกับความเชื่อของแบรนด์ แต่ทำเงินได้ในระยะสั้น เราจะยังขายมันไหม?” รวิศยกตัวอย่าง “ถ้าเรามีความเชื่อและเป้าหมายที่แน่นอน เราจะตอบได้ทันทีว่าไม่ทำ โดยไม่ต้องมานั่งคิดให้ยาก”
ตัวอย่างที่ชัดเจนของการยึดมั่นในคุณค่าของแบรนด์คือการร่วมงานกับแบมแบม กันต์พิมุกต์ ภูวกุล พรีเซนเตอร์คนล่าสุดของศรีจันทร์ ความประทับใจที่มีต่อแฟนคลับของแบมแบมนั้นเกินคำบรรยาย แม้จะเป็นวันที่อากาศร้อนมาก พวกเขามาตั้งแต่เช้า เหงื่อออกทุกอณู แต่ก็ยังรอกันได้อย่างอดทน แถมยังช่วยกันโพสต์ แชร์ โปรโมตแบรนด์จนติดเทรนด์อันดับ 1 ของโลก
การร่วมงานครั้งนี้ไม่เพียงแสดงให้เห็นถึงพลังของแฟนคลับที่สามารถผลักดันแบรนด์ไทยให้ก้าวไกลในระดับสากล แต่ยังสะท้อนให้เห็นว่าเมื่อแบรนด์และแฟนคลับมีความเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ก็เกิดขึ้นได้ ศรีจันทร์รู้สึกเป็นเกียรติและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับแบมแบมและได้รับการสนับสนุนจากแฟนคลับที่น่ารักทุกคน
เขาย้ำว่าวันนี้แบรนด์ไทยหลายแบรนด์มีคุณภาพที่สู้กับแบรนด์ต่างชาติได้แบบ 100% แบรนด์ไทยผ่านช่วงของการทดลอง เรียนรู้ ลองผิดลองถูกมาจนถึงจุดที่พัฒนาไปได้ไกล มีการทำธุรกิจ ส่งออกสินค้าจนมีองค์ความรู้ที่แข็งแกร่ง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคุณภาพของสินค้า เพราะ ไม่ว่าการตลาดจะเก่งแค่ไหน แต่ของต้องดี ไม่อย่างนั้นคนก็จะไม่ซื้อ “การทำให้ของดีและดังนั้นว่ายากแล้ว แต่การทำให้อยู่ได้นานยากกว่า”
จากร้านยาเล็กๆ ในซอย สู่แบรนด์ความงามระดับประเทศ ศรีจันทร์ไม่เพียงเป็นตัวอย่างของการสืบทอดธุรกิจครอบครัวที่ประสบความสำเร็จ แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่เห็นว่า แบรนด์ไทยสามารถเติบโตและแข่งขันในระดับสากลได้
ในขณะที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ศรีจันทร์ยังคงยึดมั่นในคุณค่าที่ส่งต่อมาจากรุ่นสู่รุ่น นั่นคือ การผลิตสินค้าคุณภาพดีในราคาที่เข้าถึงได้ พร้อมกับการพัฒนาและปรับตัวให้ทันกับความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่
และนี่คือบทพิสูจน์ว่า ความสำเร็จที่ยั่งยืนไม่ได้วัดกันที่ขนาดของธุรกิจ แต่อยู่ที่ความมุ่งมั่นในการรักษาคุณภาพและการไม่หยุดพัฒนา ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
Mission To The Moon x Srichand