การที่ผมเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่ทำงานประจำและรับราชการมาโดยตลอด ผมถูกสอนมาตลอดว่า “การลงทุนหรือการซื้อหุ้นเป็นเรื่องที่เสี่ยงสูง” ให้เราหมั่นขยันทำงาน คอยเก็บและออมเงินไว้อย่างเดียว อย่าไปสนใจ จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด
ทำให้ตั้งแต่ผมเริ่มทำงาน ผมก็ตั้งหน้าตั้งตาเก็บเงินและพยายามหาวิธีการฝากประจำที่จะให้ดอกเบี้ยได้สูงที่สุดมาโดยตลอด
ถึงแม้จะเคยเริ่มลองเล่นหุ้นดูบ้าง ได้เคยซื้อหุ้นตามคำแนะนำเพื่อน ได้เคยซื้อหุ้นตามกระแส แต่สุดท้ายก็จบด้วยการ “ขาดทุน” และการสูญเสียเงินที่เราใช้น้ำพักน้ำแรงหามาก็ทำให้เรารู้สึก “เข็ด” กับหุ้นและการลงทุนมาโดยตลอด และคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ยาก
แต่ต่อมา… เมื่อโอกาสนำพาให้เราได้มีโอกาสทำงานในสายการเงิน ได้เข้าใจเรื่องของกลไกของตลาดทุนมากขึ้น มันก็ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า เรื่องลงทุนนั้นอาจจะไม่ได้ยากหรือไกลตัวไปสำหรับเราเลย ถึงแม้เราจะไม่ชอบความเสี่ยง แต่สิ่งที่จะมาช่วยลดความเสี่ยงได้ดีที่สุดนั้นกลับเป็น “เวลา” ต่างหาก
หากเรามองตัวเลขที่เราขาดทุนจากหุ้นในวันนี้ จากเพียงมุมมองในปัจจุบัน เราก็จะคิดถึงแค่เงินที่เราสูญเสียไป แต่ถ้าเรามองตัวเลขที่เราขาดทุนในวันนี้ จากมุมมองของในอนาคต เราก็เห็นได้ว่ามันกลับเป็น “โอกาส” ที่จะทำให้เราสามารถลงทุนได้ในต้นทุนที่ถูกลงกว่าเดิม
และหากเรามีเป้าหมายและระยะเวลาในการลงทุนที่ยาวพอ “เวลา” จะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเรา
เพราะมันเป็นเรื่องที่ได้มีการพิสูจน์มาหลายร้อยปีแล้วว่า เศรษฐกิจและธุรกิจรอบโลกของเราจะยังคงเติบโตไปได้ตลอดในระยะยาว ถึงแม้ว่าในบางช่วงเวลาอาจมีจังหวะที่มันหดตัวลงบ้าง แต่หากเราใช้ “เวลา” และอยู่กับมันไป “หุ้น” จะเป็นสิ่งที่ทำให้เราได้รับผลตอบแทนจากการเติบโตของเศรษฐกิจมากที่สุด
และ “เวลา” ก็เป็นต้นทุนที่เราทุกคนมีเริ่มต้นเท่ากัน ทำให้เราทุกคนก็สามารถเป็นนักลงทุนที่ประสบความสําเร็จได้
ทำให้การโดนหลอกครั้งแรกของผมคือ “ถึงแม้การฝากประจำจะเป็นวิธีที่เสี่ยงต่อการสูญเสียเงินน้อยที่สุด แต่มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เสียโอกาสในการลงทุนมากที่สุดเช่นเดียวกัน”
ต่อมาหลังจากที่เราเริ่มเข้าใจเรื่องการลงทุนมากขึ้นแล้ว เราก็โดนผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนคอยสอนเราอยู่เสมอว่า “การกระจายความเสี่ยงในการลงทุนนั้นดีที่สุด” เพราะเราจะได้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอและมั่นคง
ทำให้ผมเลือกที่จะลงทุนผ่านการซื้อกองทุนรวมหรือไม่เคยถือสัดส่วนหุ้นตัวใดตัวหนึ่งมากเกินไปมาตลอด ด้วยความกลัวที่ว่า “หุ้นของดีจริงนั้นไม่มีในโลก” เพราะถ้าหุ้นมันดีจริง คนที่ลงทุนเก่งกว่าเรา หรือเหล่าผู้เชี่ยวชาญในตลาดก็คงไล่ซื้อเก็บไปหมดแล้ว คงไม่มีเหลือให้กับพนักงานประจำอย่างเราที่มาทีหลังหรอก
แต่ต่อมา… เมื่อผมเริ่มมีโอกาสที่จะได้ลองศึกษาหุ้นรายตัวอย่างลึกซึ้งขึ้น ก็เริ่มเปิดมุมมองใหม่ๆ ทำให้ผมได้ค้นพบว่า ความเชื่อที่ต้องกระจายความเสี่ยงในการลงทุนอยู่เสมอ อาจเป็นเพียง Confirmation Bias ของคนหมู่มากที่พยายามจะยืนยันความเชื่อ หรือเป็นความคิดเดิมที่คนหมู่มากมีอยู่ เพราะจริงๆ แล้ว การกระจายความเสี่ยงในการลงทุน เป็นสิ่งที่ดีกับคนที่ไม่มีเวลา แต่ถ้าหากเรายึดติดกับความคิดที่ว่าเราควรจะกระจายความเสี่ยงในการลงทุนอย่างเดียว อาจจะกลายเป็น Confirmation Bias ที่ได้ยินต่อๆ กันมา จนกลายเป็นไม่กล้าหรือไม่สนใจที่จะลงทุนในหุ้นรายตัว แต่สำหรับใครที่มีเวลาศึกษาหุ้นรายตัวแบบจริงจัง จะพอทราบว่ามันพอมีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่มากกว่า บนความเสี่ยงที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากเท่าไร
หากเราพยายามตั้งสติก่อนตัดสินใจ และพยายามใช้หลัก First Principles Thinking หรือหลักการคิดที่พยายามจะเข้าถึงความจริง โดยเริ่มวิเคราะห์ปัจจัยต่างจากรากพื้นฐานใหม่ทั้งหมด โดยไม่อาศัยหรือเปรียบเทียบจากประสบการณ์ของผู้อื่น ซึ่งมันจะป้องกันไม่ให้เราหลงไปกับ Confirmation Bias และสามารถหาข้อเท็จจริงได้ท่ามกลางความเชื่อที่อาจแตกต่างจากที่เคยโดนสอนมา
การค้นพบหลัก “First Principles Thinking” ทำให้ผมหลุดจากการโดนหลอกเป็นครั้งที่ 2 มาตลอดว่า “หุ้นของดีจริงนั้นไม่มีในโลก” แต่แท้ที่จริงแล้วมันยังมีโอกาสในการลงทุนที่ดีมากมายรอเราทุกคนอยู่เสมอ ไม่ว่าเราจะเป็นผู้บริหารกองทุนระดับโลก หรือเป็นเพียงพนักงานคนหนึ่งก็ตาม…
ผู้อ่านสามารถติดตามศึกษาหลัก “First Principles Thinking” และแนวทางการลงทุนที่ดีสำหรับทุกคนได้กับ Trader KP ได้ในบทความต่อไปบนเพจ Mission To The Moon
ผู้เขียน: คุณกิตพน ผู้ก่อตั้งเพจ ทันโลกกับ Trader KP
#inspireproject
#TraderKP
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast