It’s Maverick
ใช่ครับ บ้างก็ว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนัง Propaganda ของกองทัพเรือสหรัฐฯ
ใช่ครับ หนังเรื่องนี้อาจจะเป็นหนังที่ฟังพล็อตแล้วรู้สึกเฉยๆ มากๆ
ใช่ครับ นี่มันหนังสูตร Hollywood มากๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน
ใช่ครับ หนังเรื่องนี้มีการสอดแทรกแนวคิด Patriotism (ความรักชาติ) ของสหรัฐฯ มาเต็มๆ
และใช่ครับ บางคนรำคาญด้วยซ้ำว่าทำไมหนังเรื่องนี้โผล่ขึ้นมาบนฟีดเยอะจัง
แต่ในความไม่ซับซ้อนของพล็อต ในความบทเข้าถึงง่าย ในความ Propaganda ของหนังเรื่องนี้ ทั้งหมดทั้งมวลถือว่า “Top Gun: Maverick” ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมครับ ผมกล้าพูดได้เลยว่า Top Gun: Maverick คือหนัง Blockbuster ที่ดีที่สุดที่ผมได้ดูในรอบหลายปีนี้
และเพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่านบทความนี้ ผมขอแนะนำให้ทุกท่านเปิด Youtube แล้วค้นหาว่า “Top Gun: Maverick – Ultimate Soundtrack Suite” แล้วฟังตามพร้อมๆ กันครับ
“นักแสดง” ที่เป็นแรงบันดาลใจในการทำงาน ในการทำสิ่งที่ตัวเองรัก และการทำตามความฝัน
ก่อนอื่นต้องพูดถึงนักแสดงของหนังเรื่องนี้ โดยเฉพาะ Tom Cruise กับ Jennifer Connelly ครับ ผมเชื่อว่าคนอายุ 40-50 หากไปดูเรื่องนี้ ต้องมีกำลังใจในการกลับมาตามหาความฝันกันเพิ่มอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “งาน ความรัก และความฝัน”
เพราะ Tom Cruise ปีนี้อายุ 60 แล้ว ในขณะที่ Jennifer Connelly ก็ 51 ปีแล้ว แต่อะไรบางอย่างบอกเราว่า “คนเราไม่จำเป็นต้องแก่ไปตามอายุเลยแม้แต่น้อย”
สำหรับผม ภาพของ Jenifer Conelly ยืนพิงข้างรถ Porsche 911 S ปี 1973 โดยมีฉากหลังเป็นรันเวย์นับว่าเท่จริงๆ ครับ
การที่อายุ 60 แล้วเป็นแบบ Tom Cruise ได้ ไม่ใช่แค่ว่าจะมีแต่เงินก็ทำได้ แต่ต้องมีวินัยแบบสุดๆ ด้วยเช่นกัน ซึ่งก็แอบทำให้เราคิดจริงๆ ว่า อายุ 60 ก็ยังสนุกกับชีวิตได้อยู่
พอเมื่อเห็นความแอคทีฟของ Tom Cruise ทั้งในหนังและเบื้องหลังการถ่ายทำแล้วรู้สึกเหมือนได้แรงบันดาลใจให้กลับมาดูแลตัวเอง และไม่ใช่แค่ดูแลร่างกายของตัวเองเท่านั้น แต่ดูแลความฝันของตัวเองด้วยเช่นกัน
ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ชอบ Tom Cruise ก็ตาม แต่ผมเชื่อว่าเมื่อดูจบคุณจะเคารพเขาในฐานะสุดยอดนักแสดงและ Producer ที่รักโลกหนังจริงๆ และอย่างที่เราทราบกันว่าเรื่องนี้แทบไม่มีการใช้ CGI เลย ซึ่งนี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้ภาพออกมาอลังการและสมจริงอย่างที่สุดเลยล่ะครับ
การถ่ายทำที่ทุกคนต้องไปนั่งบนเครื่องบิน F-18 จริง เพื่อความสมจริงที่สุด
ภายในหนังเรื่องนี้ เครื่องบินที่ใช้เป็นหลัก คือเครื่องบิน F-18 โดยเป็นเครื่องบินสองที่นั่ง และในการถ่ายทำก็จะมีนักบินของกองทัพเรือเป็นคนบังคับเครื่องบินให้ และสาเหตุที่หนังที่เรื่องนี้ใช้ F-18 ก็คงเป็นเพราะว่ามีสองที่นั่ง เพราะถึงแม้ Tom Cruise จะมีใบอนุญาตการบินก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถขับ F-18 ได้ เพราะเป็นเครื่องบินรบสมรรถนะสูงนั่นเอง
และ Tom Cruise ในฐานะ Producer ของหนังเรื่องนี้ยังยืนยันว่านักแสดงทุกคนต้องขึ้นไปบนเครื่องบินจริงๆ โดยต้องนั่งในเก้าอี้นักบินที่สองเพราะ Tom Cruise บอกว่าอาการเวลาโดนแรง G หนักๆ มันไม่สามารถแสดงให้สมจริงบนกรีนสกรีนได้ ต้องไปนั่งบนเครื่องจริงเท่านั้น โดยจะทำการยัดกล้อง Imax เข้าไปในห้องนักบินเลย ทำให้ผู้กำกับอย่าง Joseph Kosinski ต้องทำงานกับกองทัพเรือกว่า 1 ปีกว่าจะหาวิธีเอากล้องไปติดได้แบบนี้
และเพราะนี่คือเครื่องบินจริงๆ นักแสดงต้องเป็นคนคอนโทรลกล้องด้วยตัวเอง
ต้องบอกว่าเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับ Top Gun ภาคแรกด้วย เพราะในภาคแรกนั้นก็มีการถ่ายทำคล้ายๆ แบบนี้ในเครื่อง F14 แต่หน้าตาทุกคนตอนเจอแรง G เยอะๆ นั้นดูไม่ได้เลย แถมบางคนยังมีอาการอาเจียน ทำให้มีแต่ฉากของ Tom Cruise คนเดียวที่ใช้ได้ ทำให้ในภาคนี้ Tom Cruise จึงให้นักแสดงฝึกหนักมากๆ เพื่อจะได้ภาพในห้องเครื่องบินที่สมจริงที่สุดนั่นเอง
และผลที่ออกมาก็สมจริงและอลังการอย่างมาก เรียกได้ว่าดีที่สุดในหนังเกี่ยวกับเครื่องบินทั้งหมดที่ผมเคยดูมาแน่นอนครับ
พล็อตตามสูตร แต่ทำออกมาได้อย่างน่าสนใจ
อย่างที่บอกว่าเนื้อเรื่องอาจจะดูเหมือนไม่มีอะไรมาก เป็นแบบ “สูตร” ของหนังสมัยก่อน แต่ Top Gun: Maverick สามารถทำออกมาได้อย่างน่าสนใจครับ ภายในตัวหนังยังดำเนินเรื่องรวดเร็วไม่ยืดยาด เรียกได้ว่ามีแต่เนื้อ ไม่มีน้ำ
ภายในเรื่องนี้ Tom Cruise นับว่าเป็นตัวแทนยุคท้ายๆ ของเครื่องบินที่ยังต้องการ “นักบิน” ก่อนที่กองทัพจะทุ่มเทกำลังไปให้กับการใช้ “โดรน” แทนคนขับ ซึ่งตัวเขาเองก็ยึดติดกับสิ่งที่เขาคิดว่าเขาทำได้ดีที่สุด นั่นคือการขับเครื่องบิน
แต่ลึกๆ แล้ว Marverick ยังเชื่อว่ามีบางอย่างที่หุ่นยนต์จะยังไม่สามารถแทนคนได้
หากมองอีกมุมหนึ่ง นี่ก็เหมือนเป็นการต่อสู้ระหว่างความคิดยุคเก่าและความคิดยุคใหม่
ทำให้ชวนคิดกันต่อว่า ช่วงการเปลี่ยนผ่านจากโลกเก่าไปโลกใหม่ อะไรคือสิ่งที่น่า “เก็บ” ไว้ และอะไรคือสิ่งที่จำเป็นต้อง “เปลี่ยน” มันช่างคล้ายๆกับสถานการณ์ของโลกตอนนี้เหมือนกันนะครับ
ในส่วนของภารกิจ หลายคนอาจจะติดใจหน่อยๆ เพราะในภารกิจจริง กองทัพเรือสหรัฐฯ คงไม่เลือกยุทธวิธีที่อันตราย ที่ต้องไปบินในหุบเขาขนาดนี้ แต่น่าจะเลือกทำลายระบบป้องกันอากาศยานของศัตรูด้วยจรวดกับนำเครื่อง EA-18 ไปแจมสัญญาณก่อน
และเครื่องบินคงไม่เครื่องใช้ F-18 ด้วยซ้ำ แต่น่าจะเป็นภารกิจของ F-35 มากกว่า แต่ในหนังก็สร้างเงื่อนไขของภารกิจให้ใช้ F-35 ไม่ได้ แต่ถ้าเป็นแบบนั้น มันก็ไม่มันใช่ไหมล่ะครับ เพราะนี่คือหนังทำให้เนื้อเรื่องต้องเกินจริงหน่อย
และที่สำคัญอีกอย่าง คือเครื่องบิน F-35 มีที่นั่งเดียว ซึ่งก็จะทำให้เราไม่สามารถไปถ่ายปฏิกิริยาของนักแสดงจริงๆ ได้ เพราะฉะนั้นทำให้สุดท้ายต้องเป็น F-18 นี่แหละครับ
ซึ่งหนังก็ค่อยๆ อธิบายให้เราฟังว่าภารกิจคืออะไร ยากอย่างไร และต้องทำอย่างไรถึงจะมีโอกาสสำเร็จได้ แต่ความน่าสนใจของเรื่องนี้คือมันสามารถเล่าให้คนที่ไม่รู้เรื่องเครื่องบินและปฏิบัติการทางทหารได้เข้าใจเป็นอย่างดี และระหว่างปูเรื่องก็มีการสลับฉากการซ้อมทำภารกิจไม่ให้คนดูเบื่ออีกด้วย
และอีกฉากที่ผมชอบมากคือ ฉากมัค 10 ที่โชว์การบิน SR-72 มีฉากหลังเป็นโลกสีน้ำเงิน เรียกได้ว่าสวยงามตราตรึงมากครับ
และต้องบอกเลยว่า Tom Cruise กับบทของ Pete “Maverick” Mitchell ไม่มีใครเหมาะไปกว่าเขาจริงๆ
บทสนทนาสั้นๆ กับ Val Kilmer หรือ Iceman ผู้เคยได้เป็นถึงตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพแปซิฟิก หรือ Commander of Pacific Fleet ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ใหญ่มากและเป็นคนคอยคุ้มหัว Maverick มาตลอด
ในอดีตเคยเป็นคู่แข่งกัน แต่มาวันนี้เป็นเพื่อนรักกัน
ในบทสนทนาที่พิมพ์ลงไปในคอมพิวเตอร์ของ Iceman ซึ่งเป็นการสนทนาครั้งสุดท้ายของทั้งคู่ ‘It’s time to let go’
แล้ว Let go จากอะไร?
อาจจะจากตัว Maverick เองที่ต้องเชื่อใจ ปล่อยให้ลูกของเพื่อนสนิทอย่าง Rooster โบยบินด้วยตัวเอง และต้องยอมรับในผลที่ตามมา
อาจจะจากตัว Maverick เองที่ต้องปลดตัวเองออกจากความเชื่อที่ว่าเขาเหมาะที่สุดแค่ในห้องคนขับของเครื่องบิน
หรืออาจจะต้อง Let go จากสถานะที่เขาบอกว่า การเป็นนักบินของทหารเรือนั้นไม่ใช่อาชีพ แต่เป็นตัวตนของเขา ซึ่งอาจจะสะท้อนมาในตอนที่ Tom Cruise ขับ P-51 Mustang ในฉากจบ ว่านี่อาจจะเป็นจุดจบของอาชีพนักบินในกองทัพ แต่มาเป็นนักบินธรรมดา ที่สนุกกับการบินก็เป็นไปได้
หรือจริงๆ แล้ว Iceman อาจจะอยากบอกว่า เมื่อถึงเวลาหนึ่งแล้วเราเองต้อง Let go จากทุกอย่าง เหมือนที่ตัวเขาเองก็กำลังจะ Let go จากทุกสิ่งเหมือนกัน
ถ้าใน Fast and Furious มีประโยคที่ว่า “รถอะไรไม่สำคัญ ใครอยู่หลังพวงมาลัยสำคัญกว่า”
Top Gun ก็คงจะบอกว่า “เครื่องบินอะไร (คง) ไม่สำคัญ ใครอยู่ในห้องนักบินสำคัญกว่า”
พลังของเพลงที่ช่วยส่งให้ภาพอลังการขึ้น
อีกเรื่องที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือเพลงครับ เพลงเรื่องนี้ดีงามมากจริงๆ ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะใช้ยอดฝีมือถึงสี่คน อย่าง Harold Faltermeyer, Lady Gaga, Hans Zimmer และ Lorne Balfe โดยเฉพาะฉากในห้องนักบินกับฉาก Dogfight และฉากเครื่องบินมุมกว้าง ที่เพลงมีส่วนช่วยส่งให้ภาพนั้นอลังการมากขึ้นไปอีก แค่เพลงประกอบ Danger Zone ขึ้นมาก็ขนลุกแล้วครับ ส่วน Theme Song สำหรับผมคือติดหูมาก
ถ้าจะมีอะไรให้ติสักอย่าง ก็คงจะเป็นเรื่องประเด็นความรัก ที่ผมว่าขออีกซัก 5 นาที น่าจะขยี้ได้มากกว่านี้ เพราะประเด็นนี้ดูอ่อนไปหน่อย
บทสรุปของ “Top Gun: Maverick”
ผมไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าคนอื่นดูเรื่องนี้แล้วได้อะไร แต่สำหรับผม ผมได้ “ความหวัง” ครับ
ความหวังยังอยู่กับเราเสมอ ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่
ความหวังที่จะเดินตามความฝัน
ความหวังที่เราจะเป็นคนที่ดีกว่านี้ได้
ความหวังในการจะเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าแค่ตัวเอง
ความหวังว่าที่สุดปลายอุโมงค์ ที่มีการเปลี่ยนแปลงกำลังรอเราอยู่
อีกเรื่องที่ไม่พูดไม่ได้คือ “Top Gun: Marverick” ยังเป็นอีกเหตุผลที่ย้ำเตือนเราเสมอว่า อย่างไรก็ตาม โรงหนังก็ยังคงมีความสำคัญ อย่างน้อยก็ในวันที่เรายังเสพภาพและเสียงรูปแบบนี้กันอยู่
“10/10” แบบไม่หักซักแต้มเดียว เป็นอีกเรื่องที่ต้องบอกว่าต้องดูในโรงหนังเท่านั้นครับ ถ้าพลาดไม่ได้ดูในโรงหนังแล้วจะเสียใจมาก
An Absolute Masterpiece
[ บทความ โดย รวิศ หาญอุตสาหะ ]
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
#inspiration
#entertainment