เคยคิดบ้างไหมว่าชีวิตจะ ‘เป็นรูปเป็นร่าง’ เองเมื่อเราโตขึ้นเรื่อยๆ
ในช่วงวัยแห่งการทดลองค้นหาตัวเองอย่างวัย 20 เราย้ายจากงานหนึ่งไปอีกงานหนึ่งเรื่อยๆ เพราะไม่รู้ว่าชอบทำอะไรกันแน่ เราจบความสัมพันธ์เดิมและเริ่มต้นความสัมพันธ์ใหม่ ด้วยความหวังว่าคนนี้จะใช่สำหรับเรา แต่ถ้าหากไม่ใช่ก็ไม่เป็นไร เรายังมีเวลาเริ่มใหม่ทั้งในเรื่องงานและความสัมพันธ์ เรายังมีเวลามากมายในการค้นหาตัวเอง
แต่เวลาที่ว่านั้นอาจจะสั้นกว่าที่เราคิด รู้ตัวอีกทีก็ใกล้ 30 แล้ว แถมชีวิตก็ไม่ได้เป็นรูปเป็นร่างเหมือนที่เคยจินตนาการไว้เสียด้วย!
ในเรื่อง ‘ตัวตน’ เรายังไม่รู้เลยว่าเราเป็นใครหรือชอบอะไรกันแน่ เรื่อง ‘งาน’ ก็ยิ่งแล้วใหญ่เพราะทุกวันนี้ใช้ชีวิตเพื่อรอวันเสาร์-อาทิตย์ ไหนจะเรื่อง ‘ความรัก’ ที่ยังดูงงๆ และห่างไกลคำว่าลงหลักปักฐานอีก จะ 30 แล้วแท้ๆ แต่ไม่ว่าจะด้านไหนๆ ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จสักด้านเลย
ไม่แปลกหากเราจะรู้สึกว่าเราช่าง ‘ไม่เป็นโล้เป็นพาย’ เหลือเกิน
หากรู้สึกเช่นนั้นอยู่จริงๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะโดดเดี่ยว เพราะถ้าหากข้ามทวีปไปที่เมืองออสโล เมืองหลวงของประเทศนอร์เวย์ที่อากาศเย็นสดชื่น ตึกรามบ้านช่องสะอาด เรียบง่าย และสวยงาม เราจะพบกับชีวิตอันยุ่งเหยิงของ ‘ยูเลีย’ หญิงสาววัย 30 ที่ยังต้องปวดหัวเพราะหาตัวเองไม่เจอ แถมเธอยังเปลี่ยนทั้งแฟนและงานเป็นว่าเล่น
มาทำความเข้าใจและโอบกอดทุกแง่มุมของชีวิตที่ไม่เป็นรูปเป็นร่างของตัวเอง ไปพร้อมๆ กับยูเลีย ตัวเอกจากภาพยนตร์เรื่อง ‘The Worst Person in the World’ และเรียนรู้ข้อคิดจากหนังเรื่องนี้กันเถอะ
ชวนดู The Worst Person in the World หนังรักหวานขมกลมกล่อมของคนวัย 30
The Worst Person in the World (2021) พูดถึงเรื่องราวชีวิตของ ‘ยูเลีย’ ผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูจะไม่รู้ว่าตัวเองอยากเป็นอะไรหรือ ‘ตัวตน’ ของเธอคือใครกันแน่ ยูเลียใช้ชีวิตตามใจและเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ทรงผม สีผม คณะที่เรียน งานที่ทำ ไปจนถึงผู้ชายที่คบ ยิ่งพออายุเข้า 30 ความกดดันและปัญหาก็เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่เจอคำตอบของชีวิตเสียที
เรื่องราวชีวิตของเธอถูกแบ่งออกเป็น 12 บทและเล่าด้วยจังหวะที่รวดเร็ว ราวกับเรากำลังเปิดผ่านหนังสือเล่มหนึ่ง แต่ก็ลึกซึ้งและชวนติดตามจนเวลา 2 ชั่วโมงของหนังนั้นดูสั้นจนน่าใจหาย The Worst Person in the World ถ่ายทอดเรื่องความรักและการค้นหาตัวตนได้อย่างงดงามจนได้เข้าชิงถึง 2 รางวัลใหญ่จากงาน Acedemy Awards หรืองานออสการ์ในปีนี้
อีกทั้งยังได้รับคำชมจากนักวิจารณ์มากมาย เช่น ‘เซ็กซี่ ตลก เศร้า และน่าทึ่งจนแทบหยุดหายใจ’ หรือ ‘แม้แต่ในฉากที่หวือหวาที่สุด แก่นของเรื่องยังอยู่ที่ความหมายของความเป็นมนุษย์’ แต่นอกจากความสนุกของหนังแล้ว หนังก็มีหลายประเด็นให้ชวนคิดเหมือนกัน เช่นเรื่องวิกฤตของคนวัยหนุ่มสาวอย่างยูเลีย
รู้จักกับ The Quarter-life Crisis เพราะวัย 30 ก็วิกฤติไม่แพ้วัยอื่น
“Quarter-life crisis” เป็นคำเรียกวิกฤตชีวิตของคนช่วงวัย 30 ที่ต้องเผชิญกับปัญหาหลายๆ ด้านถาโถมเข้ามาพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเงิน การงาน ความฝัน หรือความรัก ความกดดันจากรอบๆ ด้านทำให้คนวัยนี้รู้สึกหลงทาง กังวล และเหมือนชิ้นส่วนบางอย่างยังไม่ถูกเติมเต็ม
หากย้อนไปดูในช่วงวัย 30 ของคนรุ่นก่อนๆ (เช่น รุ่นพ่อรุ่นแม่) ส่วนใหญ่นั้นมักจะแต่งงาน มีลูก มีบ้าน มีรถไปเรียบร้อยแล้ว ชีวิตของพวกเขาดูจะเป็นรูปเป็นร่างตอนช่วงนี้ แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไป แต่ค่านิยมที่ว่าต้องประสบความสำเร็จด้านใดด้านหนึ่งให้ได้ก่อน 30 นั้นยังไม่ได้จางหายไปเลยทีเดียว
ส่วนในยุคปัจจุบันที่หันมานิยมความเป็นปัจเจกมากขึ้น ด้วยอิสระที่มีมากกว่าที่เคย จะเห็นว่าคนไม่ได้รีบร้อนแต่งงานหรือลงหลักปักฐานมากเท่าใด ผู้คนต่างมุ่งหน้าหาสิ่งเดียวกันนั่นก็คือ ‘ตัวตน’ ของตัวเอง เราชอบอะไร งานแบบไหนที่เราชอบ หรือ Passion ของเราคืออะไร คำถามเหล่านี้เป็นสิ่งที่คนรู้สึกว่าต้องหาคำตอบให้ได้ภายในช่วงหนุ่มสาว
ความกดดันจาก ‘ค่านิยมเก่า’ เรื่องการประสบความสำเร็จในชีวิตก่อน 30 ประกอบกับความกดดันที่ต้องหาตัวเองให้เจอจาก ‘ค่านิยมใหม่’ จึงไม่ต่างกับหมัดซ้ายและหมัดขวาที่คอยอัดหน้าชาวมิลเลนเนียลรัวๆ
หากยูเลียรู้ว่าเธอชอบอะไรเหมือนโจนาธาน ลาร์สัน ตัวเอกจากหนังเรื่อง ‘Tick, tick…Boom!’ (ซึ่งเป็นเรื่องราวของคนวัย 30 เช่นกัน) ก็คงจะดีไม่น้อย อย่างน้อยสิ่งที่เธอต้องทำก็มีเพียงหาคำตอบให้ได้ว่าจะเลือก Passion หรือความมั่นคง แต่น่าเศร้าที่ยูเลียมีสิ่งที่ต้องหาคำตอบมากกว่านั้น เพราะเธอไม่ใช่ศิลปินที่มีความมุ่งมั่น แต่เป็นเพียงคนคนหนึ่งที่ทำงานธรรมดาๆ มีปัญหาความรักเหมือนคนทั่วไป และที่สำคัญเธอยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร
บทสรุปการเดินทางของยูเลียจะเป็นอย่างไรนั้นอาจจะต้องไปตามดูกันเองในโรงภาพยนตร์ แต่วันนี้ Mission To The Moon มีบางข้อคิดน่าสนใจที่ได้จากหนังเรื่องนี้มาแบ่งปัน ด้วยความหวังว่าแนวคิดเหล่านี้จะช่วยคนที่กำลังเจอวิกฤตวัย 30 ได้บ้าง
ถอดบทเรียนจากหนัง ‘The Worst Person in the World’
1) อย่ากังวลมากเกินไปจนลืมใช้ชีวิต
ความไม่แน่นอนในอนาคตนั้นน่ากลัวและมันไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์เรารับมือได้ดีเลย ถึงแม้ว่าเราจะรู้อยู่เต็มอกว่ามันอาจ ‘ดีขึ้น’ ไม่ใช่ ‘แย่ลง’ ก็ได้ แต่เรามักจะทึกทักเอาว่ามันต้องแย่ลงแน่ๆ เป็นต้นว่า เราไม่กล้าออกไปทำตามความฝันเพราะกลัวล้มเหลว หรือไม่กล้ามีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งเพราะกังวลว่าอาจเสียใจในอนาคต
แต่การจินตนาการถึงเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นไม่ได้ช่วยอะไรเลย อนาคตยังเป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้เช่นเดิม ดังนั้นฝึกรับมือกับความกังวลและใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันให้มีความสุขดีกว่า
เหมือนที่ ‘อัคเซล’ ตัวละครในเรื่องได้บอกกับเราว่า “I wasted so much time worrying about what could go wrong. But what did go wrong, was never the things I worried about,” (ผมเสียเวลาไปมากกับการกังวลว่าจะเกิดเรื่องผิดพลาด แต่สิ่งที่ผมพลาดไปจริงๆ นั้นไม่เคยเป็นสิ่งที่ผมกังวลเลย)
2) ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ
เพราะชื่อเรื่องตั้งว่า ‘The Worst Person in the World’ หรือแปลตรงตัวว่า ‘คนที่แย่ที่สุดในโลก’ ประกอบกับเรื่องราวจากตัวอย่างหนัง ผู้ชมหลายคนจึงคาดหวังว่าจะได้เห็นพฤติกรรมแย่ๆ ของตัวละคร (โดยเฉพาะนางเอก) แต่เมื่อดูหนังจบกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย เราพูดได้ไม่เต็มปากว่าการกระทำและการตัดสินใจของตัวละครนั้น ‘ถูก’ หรือ ‘ผิด’ และถ้าหากเราอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน เราจะทำแบบนั้นบ้างไหม เราตระหนักได้ว่าพวกเขาก็เหมือนพวกเรา ที่เป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์แบบคนหนึ่งเท่านั้นเอง
3) บางครั้งความสัมพันธ์ก็ซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจ
“ฉันรักคุณ” ยูเลียให้เหตุผลกับแฟนของเธอ “และในขณะเดียวกัน ฉันก็ไม่รักด้วย”
หนังถ่ายทอดให้เห็นอีกด้านของความสัมพันธ์ที่เป็นมนุษย์และซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจ จริงอยู่ที่ความรักเคยเป็นเรื่องเรียบง่ายเมื่อเรายังเด็ก แต่เมื่อโตขึ้นมาเราจะพบว่า ปัจจัยที่ทำให้ความสัมพันธ์ไปต่อได้ไม่ใช่เพียงแค่ความรักอย่างเดียว และบางครั้งเหตุผลในการยุติความสัมพันธ์นั้นก็เป็นเรื่องภายในของคนคนเดียวล้วนๆ (เช่น ยูเลียที่ยังสับสนและอยากตามหาตัวเอง)
4) ชีวิตคือการ ‘เป็นอยู่’ ไม่ใช่การ ‘กลายเป็น’ อะไรบางอย่าง
เคยคิดบ้างไหมว่า Passion ของเราในวันนี้ อีก 5 ปีต่อไปเราอาจไม่อินกับมันแล้วก็ได้
ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาในทุกช่วงชีวิต เราจะพบว่าไม่มีสิ่งใดจีรัง ไม่ว่าจะเป็นตัวตน ความรู้สึก ความสัมพันธ์ หรือแม้กระทั่งชีวิต เราอาจเคยคิดว่าหากเราทำตามความฝันและกลายเป็นสิ่งนั้นที่เราต้องการ เราจะถึงเส้นชัยและไม่ต้องต่อสู้กับความไม่แน่นอนอีกต่อไป เช่นเดียวกับยูเลียที่เชื่อว่าหากเธอเลือกทางที่ถูกต้อง เธอจะค้นพบตัวเองและพบคำตอบสำหรับทุกสิ่ง ชีวิตเธอจะเป็นรูปเป็นร่างเสียทีเพราะต่อจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายสำเร็จแล้ว
แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่เช่นนั้น คนเราต้องตัดสินใจและเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ หากเปรียบเทียบกับจิ๊กซอว์ เราคงเป็นจิ๊กซอว์ที่มีการต่อเติมเรื่อยๆ และกลายเป็นรูปร่างใหม่อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นชีวิตไม่ใช่การ ‘กลายเป็น’ (Becoming) อะไรสักอย่างแล้วจบไป แต่คือการ ‘เป็นอยู่’ (Being) กับตัวตน ณ ปัจจุบันต่างหาก
5) หาตัวเองยังไม่เจอก่อน 30 ก็ไม่เป็นไร!
แม้จะ 30 แล้ว ยูเลียยังรู้สึกว่าตัวเอง “ไม่เป็นโล้เป็นพาย” และเปลี่ยนใจจากสิ่งหนึ่งไปยังสิ่งหนึ่งเรื่อยๆ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย คนที่ยังหาตัวเองไม่เจอไม่ได้มีค่าน้อยไปกว่าคนที่รู้จักตัวเองแล้วเลย ยิ่งไปกว่านั้นในอีก 5 ปีต่อมา คนที่รู้จักตัวเองอาจกลายเป็นคนที่สับสน และคนที่หาตัวเองไม่เจอในวันนี้ ตอนนั้นอาจค้นพบ Passion ของตัวเองแล้วก็ได้
ความเปลี่ยนแปลงคือเรื่องปกติของมนุษย์ และหากต้องเผชิญช่วงเวลาที่ต้องตัดสินใจจริงๆ เช่นที่ยูเลียเผชิญ สิ่งที่เราทำได้คือ ฟังเสียงหัวใจตัวเอง ยอมรับ และอยู่กับทางเลือกที่เราเลือกให้ได้เท่านั้นเอง
ช่วงวัย 30 เป็นช่วงวัยที่สับสนและว้าวุ่นไม่แพ้ช่วงไหนๆ แถมต้องเผชิญกับความกดดันมากมาย ทั้งจากเรื่องงาน การเงิน ครอบครัว และความสัมพันธ์ ถ้าหากใครสำเร็จด้านใดด้านหนึ่งแล้วก็ถือเป็นเรื่องน่ายินดี แต่ถ้าใครที่กำลังคิดไม่ตกว่าชีวิตจะไปทางไหนต่อ ก็อย่าเพิ่งตื่นตระหนกไป ชีวิตไม่ได้หมดอายุที่ 30 เสียหน่อย! แม้ว่าสังคมจะทำให้เรารู้สึกเช่นนั้นก็ตาม
และถ้าหากวันนี้จะยัง ‘ไม่เป็นรูปเป็นร่าง’ ก็ไม่เป็นไรเลย
อ้างอิง:
https://bit.ly/3seQyNE
https://bit.ly/350dzLC
https://bit.ly/3shsF80
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
#inspiration