The Art of Being Alone มารู้จักและฝึกฝน “ศิลปะแห่งการอยู่คนเดียว”

4225
อยู่คนเดียว

‘การเรียนรู้ที่จะอยู่คนเดียวไม่ใช่เรื่องง่าย.. แต่ถ้าหากทำได้จะเป็นรางวัลก้อนใหญ่ให้แก่ชีวิต’

เพจของเราเคยพูดถึงความจริงข้อนี้ไว้ในบทความหนึ่งที่เกี่ยวกับการสร้างความสุข แต่เรารู้ดีว่าสิ่งที่เราแนะนำไปนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย! โดยเฉพาะสำหรับคนที่ ‘ไม่ชอบอยู่คนเดียว’

แม้จะไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย แต่หลายคนก็ไม่ชอบการอยู่คนเดียวเอามากๆ การศึกษาหนึ่งพบว่าหากให้คนเราเลือกระหว่าง ‘การถูกไฟดูด’ หรือ ‘การอยู่คนเดียว 15 นาที’ บางคนยอมถูกไฟดูดเสียดีกว่า

Advertisements

สาเหตุที่คนเราไม่ชอบอยู่คนเดียวขนาดนี้อาจเป็นเพราะ ‘ความเหงา’ ที่มักมาคู่กัน แน่นอนว่าไม่มีใครชอบความเหงาอยู่แล้ว ไม่ว่าคุณจะเป็นชาว Extrovert หรือ Introvert เพราะความเหงาทำให้เรารู้สึกแย่ แถมส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม เราลืมไปหรือเปล่าว่า ‘อยู่คนเดียว’ กับ ‘เหงา’  ไม่เหมือนกัน

อยู่คนเดียว ≠ โดดเดี่ยว

ความรู้สึก ‘โดดเดี่ยว’ หรือ ‘เหงา’ มักเกิดขึ้นในตอนที่เราอยู่คนเดียว หลายๆ คนจึงเข้าใจว่า การอยู่คนเดียวเป็นต้นเหตุของความเหงา ทั้งๆ ที่จริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้น ความรู้สึกเหงาเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนที่เราอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย และการอยู่คนเดียวก็ไม่ได้หมายความว่าเราเหงาเสียทุกครั้ง

สาเหตุที่หลายๆ คนไม่ชอบการอยู่คนเดียวอาจเป็นเพราะความไม่คุ้นชิน ในโลกที่ห้อมล้อมไปด้วยเทคโนโลยี เรามีสมาร์ตโฟนเป็นเพื่อนอยู่ตลอดเวลา เราอยู่เฉยๆ ไม่ค่อยได้นานเสียเท่าไร รู้ตัวอีกทีมือก็จับโทรศัพท์เสียแล้ว

อีกสาเหตุอาจเป็นเพราะว่า การอยู่คนเดียวมีความหมายแฝงลบๆ อย่าง ‘การทำโทษ’ เรายังคงจำกันได้ดีใช่ไหมกับการถูกครูลงโทษให้ไปยืนคนเดียวหน้าห้องตอนเด็กๆ หรือการถูกเพื่อนรังแกจนต้องนั่งกินข้าวคนเดียว ชื่อเสียงในทางลบของการอยู่คนเดียวทำให้เราหลงลืมไปว่า บางครั้งการอยู่คนเดียวไม่ใช่การถูกบังคับแต่เป็น ‘ตัวเลือก’  และเราเลือกได้ว่าจะอยู่คนเดียวนานแค่ไหน

เข้าใจนิยามของการอยู่คนเดียวเสียใหม่ และมาเปิดใจเรียนรู้กันว่าการอยู่คนเดียวก็มีข้อดีมากมายนะ

ข้อดีของการอยู่คนเดียว

1) ได้ชาร์จพลังให้เต็มที่

ในผลการสำรวจเรื่องการพักผ่อน ผลพบว่ากิจกรรมที่ทำแล้วให้ความรู้สึกว่าได้ ‘พักผ่อนเต็มที่’ มักจะเป็นกิจกรรมที่ทำคนเดียว อย่างการอ่านหนังสือ การฟังเพลง หรือการไม่ทำอะไรเลย

ในการอยู่กันเป็นกลุ่มอย่างสันติ เราต้องยอมปรับเปลี่ยนอะไรบางอย่างเพื่อให้เข้ากับคนอื่นได้ 

แต่การอยู่คนเดียวใช้พลังงานน้อยกว่ามาก เพราะเราไม่ต้องฝืนตามใจใคร และไม่ต้องโน้มน้าวให้ใครทำตามใจเรา

2) รู้จักตัวเองมากขึ้น

การอยู่คนเดียวช่วยให้เราหาคำตอบของคำถามที่ว่า ‘เราเป็นใคร’ และจริงๆ แล้วเราชอบอะไรกันแน่ เพราะเรามีอิสระเต็มที่ในการตัดสินใจ แบบไม่ต้องกลัวว่าคนอื่นจะมองเราอย่างไร 

3) เข้าสังคมได้ดีขึ้น

งานวิจัยหนึ่งพบว่าการอยู่คนเดียวช่วยให้เราควบคุมอารมณ์ได้ดี รู้สึกสงบ และเตรียมพร้อมสำหรับการพบเจอผู้คน จะว่าไปแล้วก็ไม่ต่างจากการที่เราทำสมาธิ ก่อนการออกไปพรีเซนต์งานเลย

4) สร้างสรรค์มากขึ้น

มีการศึกษาพบว่าในการ Brainstorm ไอเดียนั้น หากเรามีเวลาทำด้วยตัวเองเงียบๆ คนเดียวบ้าง สลับกับการโยนไอเดียกันแบบกลุ่ม ผลพบว่าการ Brainstorm มีประสิทธิภาพและสร้างสรรค์กว่าเดิม

5) ได้ประเมินตนเอง

บางครั้งเราก็ปล่อยให้โลกวิ่งผ่านไปเรื่อยๆ ใช้ชีวิตแบบเร่งรีบ ไม่ค่อยได้ทบทวนเท่าไรว่า ‘ที่เป็นอยู่นี้ดีหรือยัง’ ‘เรากำลังทำตามความฝันของตัวเองอยู่ไหม’ และ ‘สิ่งนี้ดีต่อเราจริงๆ หรือเปล่า’

ยกตัวอย่างเช่น การพยายามรักษา ‘Filler Friendship’ ซึ่งก็คือเพื่อนที่เราคบไว้เพื่อหนีความเหงา แต่ไม่ได้รู้จักกันลึกซึ้ง และแน่นอนว่าไม่ได้คอยอยู่ข้างๆ ยามทุกข์ใจ 

หากเราได้มีเวลาทบทวน เราอาจคิดได้ว่าเราหาอย่างอื่นทำแก้เหงาได้ ไม่จำเป็นต้องเสียเงินและสุขภาพออกไปเที่ยวทุกศุกร์ เพื่อรักษาความสัมพันธ์เช่นนี้ เพราะท้ายที่สุดเขาก็ไม่ใช่คนสำคัญในชีวิตเราจริงๆ

6) ฝึกดูแลตัวเองในวันที่ไม่มีใคร

คนที่ไม่ค่อยมีเวลาให้ตัวเองมักจะไม่รู้ว่า ‘ในวันแย่ๆ ฉันต้องจัดการกับตัวเองอย่างไร’ เพราะที่ผ่านมาพึ่งพาคนอื่นตลอด เหนื่อยก็โทรบ่นกับเพื่อน เศร้าก็ชวนเพื่อนออกไปดื่ม พอวันที่คนเหล่านี้ไม่ว่างที่จะมาอยู่ข้างๆ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอย่างไรให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น

แปลกดี ทั้งๆ ที่เราสำคัญต่อตัวเองที่สุดแท้ๆ เรากลับไม่รู้วิธีดูแลตัวเองเลย

Advertisements

ต้องนอนมาส์กหน้าและดูซีรีส์เรื่องโปรด? ต้องออกกำลังกายให้เลิกคิดมาก? หรือต้องจุดเทียนหอมเพื่อผ่อนคลาย? หากเราไม่มีเวลาให้ตัวเองมากพอ เราจะไม่มีทางรู้เลยว่าจะอยู่เป็นเพื่อนตัวเองอย่างไรในวันที่ไม่มีใคร

มาฝึกฝนศิลปะแห่งการอยู่คนเดียวให้เชี่ยวชาญกันดีกว่า

สิ่งแรกที่อยากบอกคนที่อยากฝึกทำอะไรคนเดียวคือ “ไม่มีใครจับตามองเราอยู่”

เวลาเราไปไหนมาไหนคนเดียว เรามักจะไม่กล้าสนุกกับมันเต็มที่ เพราะเราคิดว่าคนอื่นมองเราอยู่ ความจริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้นเลย แต่ละคนก็ต่างอยู่ในโลกของตัวเองทั้งนั้น อย่างเราเองที่อาจมีการเหลือบตาไปมองคนอื่นบ้าง แต่พอผ่านไปสักพัก เราก็จำเรื่องของคนคนนั้นไม่ได้แล้ว

ทุกคนเป็นตัวเอกในโลกของตัวเอง ไม่มีใครสนใจเราขนาดนั้นหรอก

สิ่งต่อมาคือควร “เริ่มเล็กๆ”

อย่าเริ่มด้วยการหนีเข้าป่าตามหาความสันโดษสัก 2-3 วันอะไรเช่นนี้ เพราะความไม่เคยชิน อาจทำให้เราเหงาขึ้นมาจนประสบการณ์การอยู่คนเดียวกลายเป็นเรื่อง ‘ไม่น่าประทับใจ’ ไปเลยก็ได้

เริ่มเล็กๆ โดยการทำกิจกรรมที่ชอบคนเดียว อย่างการเดินชมพิพิธภัณฑ์ การอ่านหนังสือที่ร้านกาแฟสัก 30 นาที หรือการกินบุฟเฟ่ต์คนเดียวก็ได้! อยู่คนเดียวก็ทำให้เราประหม่าพอแล้ว ลองเริ่มจากกิจกรรมที่ไม่ต้องออกจาก Comfort Zone มากจะดีกว่าไหม

ท้ายที่สุดนี้ ต้องฝึก No Phone Policy! คือพยายาม “อย่าเล่นโทรศัพท์” นั่นเอง

การผจญภัยยังจะเป็นการผจญภัยอยู่ไหม หากเราไม่ได้อัปโหลดรูปลง Instagram?

หรือหากเราเจอเรื่องน่าประทับใจ เหตุการณ์นั้นจะยัง ‘เกิดขึ้นจริง’ อยู่ไหม ถ้าเราไม่ได้เล่าให้ใครบน Facebook ฟัง?

ทุกวันนี้ชีวิตเราผูกพันกับเทคโนโลยีจนแยกไม่ออก ทั้งๆ ที่จริงแล้ว เราไม่ต้องรับรู้เรื่องคนอื่นอยู่ตลอดเวลา และคนอื่นก็ไม่ต้องรับรู้เรื่องของเราตลอดเวลาเช่นกัน 

ลอง Log off จากความเคลื่อนไหวเหล่านี้บ้าง ปล่อยให้สมองได้ทำงานอย่างอิสระ และลองให้ชีวิตเป็นไปในแบบของมันดู เราอาจได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ มากกว่าที่คิด

ผู้คนในชีวิตเราล้วนมีสถานะ ‘ชั่วคราว’ กันทั้งนั้น ไม่มีใครอยู่เคียงข้างเราได้ตลอดเวลา ดังนั้นให้เวลากับตัวเองเหมือนที่เราให้คนอื่นบ้าง จะได้รู้จักตัวเองมากขึ้น

อย่างน้อยในวันที่ไม่มีใคร ก็ยังมีตัวเองเป็นเพื่อนนะ



เนื้อหาอื่นๆ ที่น่าสนใจ

– แด่คนที่ฉันควรรักมากที่สุด: ตัวฉันเอง >> https://bit.ly/3CKU19R

– ‘ห่างกันสักพัก’ ดีต่อความรักและความสัมพันธ์กว่าที่คิดนะ >> https://bit.ly/3g2hzx8

อ้างอิง

https://nyti.ms/3jUduw8

https://bbc.in/3iG4pYl

#missiontothemoon

#missiontothemoonpodcast

#inspiration

ติดตามความเคลื่อนไหวและเนื้อหาน่าสนใจอื่นๆ ได้ที่ https://missiontothemoon.co/

Advertisements