INSPIRATIONงานวิจัยชี้ เมาท์มอยในออฟฟิศ ช่วยให้เราทำงานได้ดีขึ้น (Positive Gossiping)

งานวิจัยชี้ เมาท์มอยในออฟฟิศ ช่วยให้เราทำงานได้ดีขึ้น (Positive Gossiping)

ข้อดีของการไปทำงานที่ออฟฟิศสำหรับคุณคืออะไร?

สำหรับบางคนที่ทำงานในบริษัทที่มีความสมัยใหม่หน่อย ก็อาจจะคิดถึงสวัสดิการต่างๆ อย่าง ห้องเล่นเกม วายฟายฟรี ไม่เปลืองค่าไฟที่บ้าน ข้าวกลางวันฟรี ไปจนถึงน้ำและขนมที่สามารถเดินไปหยิบได้ตลอด

แต่สิ่งที่ใครหลายคนนั้นคิดถึงที่สุด หรืออาจจะคาดไม่ถึงว่าจะโหยหายามต้องนั่งทำงานแบบ Work From Home ก็คือ “บทสนทนา” ต่างๆ กับเพื่อนร่วมงานมากมายหลากหลายหน้าตา การทักทายยามเช้าของน้าเพ็ญที่ร้านกาแฟทุกเช้า การโดนพี่บิ๊กถามว่ากินอะไรในทุกมื้อกลางวัน ไปจนถึงการคุยเล่นตลอดวันกับเพื่อนสนิทอย่างแพรวาที่นั่งข้างๆ เวลาคิดงานไม่ออก กล่าวโดยง่ายคือ “การเมาท์มอย” ในที่ทำงานนั่นเอง

โดยปกติแล้ว การเมาท์มอยในที่ทำงานแบบนี้มักจะถูกมองว่าเป็นการกระทำที่ไม่มีความเป็นมืออาชีพเท่าไหร่นัก เนื่องจากการเมาท์มอยมักจะถูกเชื่อมโยงเข้ากับ “การนินทา” หรือการว่าร้ายผู้อื่นแบบลับหลังอยู่เรื่อยมา แต่อันที่จริงแล้วการเมาท์มอยนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากการประสงค์ร้ายเสมอไป อีกทั้งยังมีผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่บอกว่า การเมาท์มอยเรื่อยเปื่อยทั่วไปแบบไร้สาระและไร้พิษภัยระหว่างเพื่อนร่วมงานนั้น ดีต่อสุขภาพจิตแถมยังช่วยให้คนเราทำงานได้มีประสิทธิภาพขึ้นอีกด้วย

เมาท์วันละนิด จิตแจ่มใส

ปกติแล้วมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ถึงแม้บางคนจะนิยามว่าตัวเองเป็นมนุษย์อินโทรเวิร์ต แต่เบื้องลึกแล้ว ทุกคนล้วนต่างก็มีความต้องการที่จะเข้าสังคมอยู่ในสัญชาตญาณ ซึ่งการพูดคุยเมาท์เรื่อยเปื่อยมักจะถูกสังคมตีตราว่าเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย แต่มีการศึกษามาว่าอันที่จริงแล้ว ทั้งผู้หญิงและผู้ชายนั้นก็มีพฤติกรรมในการเมาท์มอยที่แทบไม่ต่างกันเลย

โดยมีการศึกษาวิจัยจาก Megan Robbins และ Alexander Karan สองนักจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัย UCLA เกี่ยวกับการเมาท์มอยของมนุษย์ โดยพวกเขาได้ทำการสวมเครื่องบันทึกแบบพกพาให้กับผู้เข้าร่วมการทดลองจำนวน 500 คนเป็นเวลา 2-5 วัน เพื่อเป็นการบันทึกและวิเคราะห์ “พฤติกรรมการเมาท์มอย” ซึ่งหลังจากสิ้นสุดการทดลองก็พบว่า เฉลี่ยแล้วมนุษย์นั้นซุบซิบกันวันละ 52 นาที ทั้งผู้ชายและผู้หญิง

พวกเขายังพบว่า 85% ของการพูดคุยซุบซิบเมาท์มอยนั้นไม่ได้เป็นการนินทาว่าร้ายที่มีพิษภัยอะไร โดยส่วนใหญ่เป็นเพียงการพูดคุยเล็กๆ น้อยๆ แลกเปลี่ยนข้อมูลประจำต่างฝ่ายต่างก็มีข้อมูลที่เหมือนๆ กันอยู่แล้ว ซึ่งมีเพียง 15% เท่านั้น ที่เป็นการนินทาผู้อื่นในแง่ลบ

นอกจากนี้ Elena Martinescu นักวิจัยผู้ศึกษาเรื่องเมาท์มอยในที่ทำงาน หรือ Workplace Gossip โดยเฉพาะจากสถาบันวิจัย Vrije Universitetit Amsterdam ประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้ให้สัมภาษณ์กับ NPR ว่า การเมาท์มอยในที่ทำงานนั้นเป็นเครื่องมือชั้นดีที่ช่วยให้ผู้คนสามารถตระหนักรู้ถึงสถานการณ์ต่างๆ รอบตัวที่เกิดขึ้นและช่วยสร้างสายสัมพันธ์ทางสังคมกับผู้อื่นได้เป็นอย่างดี
​​
นอกจากนี้ ก็ได้มีการศึกษาวิจัยจากมหาวิทยาลัย Standford และ Berkeley แสดงให้เห็นว่าการซุบซิบเมาท์มอย สามารถเป็นวิธีที่ดีในการช่วยสร้างความสามัคคีและการทำงานเป็นทีมที่ดีได้อีกด้วย เพราะเราจะสามารถรู้ได้ว่าใครที่ควรทำงานด้วย หรือใครควรหลีกเลี่ยง

Positive Gossiping ส่งต่อเรื่องดีๆ แทนที่จะนินทาลับหลังอย่างเดียว

แต่แน่นอนว่า การเมาท์มอยจะมีประโยชน์ได้นั้น ต้องอยู่บนพื้นฐานที่ไม่มีพิษภัยและไม่มีจุดประสงค์ร้ายแอบแฝง โดย Matthew Feinberg ศาสตราจารย์ด้านการจัดการที่มหาวิทยาลัยโตรอนโต ชี้ให้เห็นว่าการเมาท์มอยที่เกิดขึ้นเพราะต้องการว่าร้ายผู้อื่น เช่นการนินทาลับหลัง บูลลีรูปร่างหน้าตาของใครบางคน ล้วนแต่จะสร้างผลลัพธ์เชิงลบ สร้างความเสียหาย และสร้างแต่ปัญหาเช่นกัน

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อเราอยู่ในวงของการเมาท์มอยในที่ทำงาน หัวข้อของนินทาคนในออฟฟิศนั้นจะต้องผุดขึ้นมาบ้างสักครั้ง ไม่ว่าจะเป็นชีวิตรักของพี่ที่แผนก HR เงินเดือนของน้องที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ไปจนถึงความลับของประธานบริษัท เมื่อเราบังเอิญถลำเข้าไปอยู่ท่ามกลางวงนินทาจนเกินคำว่าเมาท์มอยเรื่อยเปื่อยแล้วล่ะก็ ก็ควรพยายามถอนตัวออกมาจากวงสนทนานั้นจะเป็นการดีที่สุด

ในท้ายที่สุด ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ถ้าหากเราบังเอิญตกอยู่ท่ามกลางวงซุบซิบนินทาเพื่อนร่วมงานเมื่อไหร่แล้วล่ะก็ แทนที่เราจะนินทาลับหลังแต่เรื่องไม่ดี จะดีกว่าไหมถ้าเราลองเมาท์มอยถึงเรื่องราวและโมเมนต์ดีๆ ของเพื่อนร่วมงานในออฟฟิศ ซึ่งสิ่งนี้เรียกว่า การเมาท์มอยเชิงบวก (Positive Gossip)

แบ่งปันสิ่งที่เราชอบเกี่ยวกับเพื่อนร่วมงานต่างๆ ในเชิงบวก แอบชมพวกเขากับหัวหน้าของพวกเขาว่าทำไมเราถึงชอบทำงานกับเขา และในที่สุด คำชมแบบลับหลังของเราก็จะไปถึงหูของคนคนนั้นได้เอง กลายเป็นว่าจากการนินทาธรรมดา กลับเป็นการสร้างสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้นระหว่างเรากับเพื่อนร่วมงานนั่นเอง ซึ่งไม่ว่ามองอย่างไรก็น่าจะดีกว่าการนินทาลับหลังกันในทางที่ไม่ดี จริงไหม?


ที่มา:
– Why gossiping at work is good for you : Bryan Lufkin, BBC – https://bbc.in/3KM16eG
– The Surprising Benefits of Gossiping at Work, According to New Psychology Research : Scott Mauz, Inc – https://bit.ly/3x0HGx1
– Spread the Word: Productive Gossip as a Skill : Jacquelyn Ferguson, Corporate Wellness Magazine – https://bit.ly/3qbYv4n
– Workplace Gossip: What Crosses the Line? : Dana Wilkie, SHRM – https://bit.ly/3q9XgTd


#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
#worklife
#gossiping

Advertisements
Advertisements

 

Advertisements

LASTEST ARTICLES

LASTEST PODCAST

Mission To The Moon
Mission To The Moon
พื้นที่ที่สร้างขึ้นเพื่อแบ่งบันเรื่องราวเกี่ยวกับการทำธุรกิจ การตลาด แรงบันดาลใจ และข้อคิดในการใช้ชีวิต

POPULAR ARTICLES

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่มีความจำเป็น (Strictly Necessary Cookies)
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้งานและเข้าชมเว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้ อย่างไรก็ตาม คุณสามารถบล็อคการใช้งานคุกกี้ได้จากเบราว์เซอร์ที่ใช้งาน ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบกับการใช้งานเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้สำหรับการวิเคราะห์และวัดผลการทำงาน (Performance Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

บันทึกการตั้งค่า