“No Zero Days” กฎที่จะเปลี่ยนชีวิตผ่านการทำน้อยแต่ได้มาก!

1396
No Zero Days

เราเหนื่อยเกินไปหรือเปล่า? กับการที่ต้องทำตัวโปรดักทีฟตลอดเวลา แม้จะเป็นวันหยุดพักผ่อน กลับรู้สึกผิดเพราะไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง พอเปรียบเทียบกับคนอื่นก็เกิดคำถามในหัว ‘ทำไมเราทำน้อยกว่าคนอื่น?’ ทำให้เรายิ่งรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่ 

เราทุกคนต่างคิดว่ายิ่งทำเยอะ ชีวิตยิ่งโปรดักทีฟตามไปด้วย แต่จำนวนงานไม่สามารถเป็นตัวชี้วัดคุณภาพชีวิตที่ดีเสมอไป ‘สิ่งที่ทำ’ แต่ละอย่างต่างหากจะเป็นตัวกำหนดคุณภาพชีวิตที่แท้จริง 

Advertisements

จากบทความ “The ‘No Zero Days’ Productivity Mindset Might Change Your Life” ได้พูดถึงกฎ 4 ข้อที่เราควรทำในหนึ่งวัน การทำเพียง 4 ข้อโดยสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อตัวเราในอนาคต ทำให้เราไม่ต้องเหนื่อยเปล่าไปกับอะไรหลายอย่างที่ไม่จำเป็น มันจะเปลี่ยนแปลงชีวิตเราทีละน้อย และเมื่อมองย้อนกลับมา เราจะเห็นก้าวเติบโตที่ยิ่งใหญ่จนน่าทึ่ง 

กฎ ‘No Zero Days’  เปรียบเหมือนห้องสไตล์มินิมอลที่น้อยแต่มาก เรียบง่ายทว่าทรงพลัง  มันได้กรองสิ่งที่สำคัญที่สุดในแต่ละวันไว้ให้เราเรียบร้อย พร้อมหรือยังที่จะเปลี่ยนชีวิตและทำให้ทุกวันกลายเป็นวันที่โปรดักทีฟ เตรียมสมุดปากกามาจดเก็บไว้ได้เลย! 

กฎข้อที่ 1 หยุดให้วันของเรามีแต่ 0 (สูญ) โดยการทำอย่างน้อย 1 อย่างเล็กๆ ที่เกี่ยวกับเป้าหมายของเรา 

วันที่ใช้ไปอย่างสูญเปล่าคือการที่เราไม่ได้ทำอะไรสักอย่างที่เกี่ยวกับเป้าหมายหรือความฝันเลย แต่นั่นมิได้หมายความว่าเราจำเป็นต้องบรรลุเป้าหมายในทันทีหรือต้องบรรลุเป้าหมายที่แสนยาก เพราะหัวใจสำคัญของกฎ No Zero Days คือการทำน้อยเพื่อมุ่งไปสู่ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ 

เราไม่จำเป็นต้องทำเยอะๆ เพียงทำให้จากวันที่มีแต่เลข 0 กลายเป็นเลข 1 ซึ่งเลข 1 นี้คือการเริ่มต้นจากการทำสิ่งเล็กๆ เช่น เดินย่อยหนึ่งนาทีหลังกินข้าว ทำสมาธิหนึ่งนาทีก่อนนอน ทำเพียงแค่หนึ่งก็พอ เพราะหนึ่งย่อมดีกว่าศูนย์เสมอ ดีกว่าการไม่ทำอะไรเลย และแค่ 1 นี่แหละที่จะค่อยๆ เปลี่ยนชีวิตเราไปจากเดิม

กฎข้อที่ 2 ขอบคุณ ‘อดีต’ และวางแผน ‘อนาคต’ ให้ดี

อย่างแรกคือการขอบคุณอดีตที่ทำให้เราเติบโต ขอบคุณตัวเองที่ผ่านเรื่องเลวร้ายมาได้  ขอบคุณคนในชีวิตที่ผ่านเข้ามาที่ทำให้เราได้เรียนรู้ ทำให้เราเห็นโลกที่กว้างขึ้น อย่างที่สองคือทำสิ่งดีๆ ที่มีประโยชน์ต่อตนเองในอนาคต วางแผนชีวิตเพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับวันข้างหน้า 

ชีวิตที่ดีเกิดจากอดีตที่เราทำ เป็นเพราะว่าเมื่อก่อนเราวางแผนการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ ตอนนี้จึงสามารถเพลิดเพลินกับการซื้อของที่อยากได้โดยไม่รู้สึกผิด ที่ผ่านมาเราบังคับตัวเองให้ออกกำลังกาย ปัจจุบันเราสามารถออกกำลังกายได้โดยไม่ฝืนใจ เพราะฉะนั้น ‘ทำเพื่ออนาคตคือสิ่งที่เราต้องทำในตอนนี้ เพราะเราได้ใช้เวลาในอดีตไปกับการทำเพื่อปัจจุบันแล้ว’

ถ้าตอนนี้เรามัวแต่ยุ่งอยู่กับสิ่งที่เราไม่ได้ทำในวันก่อน วันต่อๆ ไปเราก็จะวุ่นวายอยู่กับเรื่องของวันนี้ และวงจรน่าเวียนหัวเช่นนี้จะเกิดขึ้นอย่างไม่รู้จบถ้าเราไม่มองไปข้างหน้า ฉะนั้น จงหยุดทำ หยุดคิดเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ทำปัจจุบันให้ดีที่ไม่ใช่จำกัดอยู่แค่วันวันนั้นหรือช่วงเวลานั้นๆ แต่เป็นการทำปัจจุบันเพื่อปูทางไปสู่อนาคตและความยั่งยืนในชีวิต

กฎข้อที่ 3 ให้อภัยตัวเอง ใจดีกับตัวเองบ้าง

เราทุกคนต่างคาดหวังว่าตนจะบรรลุความสำเร็จในด้านการงาน การเงินหรือในเรื่องของความสัมพันธ์ เราทำในสิ่งที่อยากทำเพื่อให้ถึงเป้าหมาย แต่หนึ่งสิ่งที่ทำให้เราไปไม่ถึงเป้าหมายนั้นคือการที่เราลืม ‘รักตัวเอง’ เราตั้งตารอความสำเร็จที่จะมาถึง แต่สุดท้ายมันกลับล้มเหลว เราผิดหวังในตัวเอง รู้สึกแย่ จมปลักอยู่กับมันจนไม่กล้าเริ่มต้นใหม่ ความรู้สึกเหล่านี้ทำให้เราออกจากวังวนของความล้มเหลวไม่ได้เสียที 

‘ใจดีกับคนอื่นแล้ว อย่าลืมใจดีกับตัวเองด้วย’

ความผิดพลาด ความล้มเหลวเป็นจุดเล็กๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตเราและจะค่อยๆ จางหายไปตามกาลเวลา แต่เราจะอยู่กับความรู้สึกแย่ๆ นี้ตลอดไป ถ้าเราไม่หยุด ‘โทษตัวเอง’ เพราะฉะนั้นปล่อยวางความรู้สึกเกลียดชังตัวเอง ให้อภัยตัวเองกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ใช้ใจที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตามองมันเหมือนเพื่อนคนหนึ่งที่ทำให้เรากลายเป็นเราที่ดีกว่าเดิม

กฎข้อที่ 4 หมั่นออกกำลังกายและอ่านหนังสือ

การออกกำลังกายจะทำให้เรามีร่างกายและจิตใจที่เต็มไปด้วยพลัง มีสมองปลอดโปร่ง สามารถคิดอ่านได้ละเอียดรอบคอบมากขึ้น ในขณะเดียวกัน การอ่านหนังสือก็สำคัญเช่นกัน เพราะการอ่านเป็นขุมทรัพย์แห่งความรู้และประสบการณ์ที่ทำให้เราได้ท่องโลกอันกว้างใหญ่ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน เปิดประสบการณ์ที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนในชีวิต  เราสามารถเรียนรู้บทเรียนต่างๆ ผ่านหนังสือได้โดยที่เราไม่ต้องผิดพลาดเอง นอกจากนี้การอ่านหนังสือจะทำให้เราเข้าใจผู้อื่นมากขึ้นอีกด้วย

Advertisements
mm2021

กฎ ‘No Zero Days’ 4 ข้อจะเปลี่ยนแปลงชีวิตเราไปทีละนิด แต่หลังจากนั้นล่ะ เราจะทำให้การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ นี้กลายเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร?

คนเรามักมีนิสัยเป็น ‘นักวางแผน’ ‘นักคิด’ ที่ว่าอยากทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ อยากพัฒนาตัวเอง อยากเก่งเรื่องนี้ แต่ปัญหาคือเราคิดแต่ไม่ลงมือทำ คิดนั้นง่าย แต่ลงมือนั้นยาก เราฝัน ตั้งความหวังไว้ว่าพิชิตมันให้จงได้ แต่ในขณะเดียวกัน เราไม่กล้า กังวล ผัดวันประกันพรุ่ง ซึ่งสิ่งนี้ไม่ต่างไปจากการไม่ทำอะไรเลย 

สาเหตุที่ทำให้เราไม่ได้ลงมือทำสักที เป็นเพราะฝันที่เราวาดไว้มันยิ่งใหญ่เกินกว่าจะยัดลงไปในหนึ่งวันอย่างไรเล่า

ฉะนั้นลองถามตัวเองว่า “เป้าหมายของเราคืออะไร” และ “เราสามารถทำสิ่งใดเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายนี้ได้บ้าง” การจำแนกออกมาทีละข้อเช่นนี้ทำให้เราเห็นภาพชัดขึ้นว่าเราต้องทำอะไรบ้าง เป็นบันไดทีละขั้นที่ทำให้เราเดินขึ้นไปได้อย่างมั่นคงและไม่ท้อก่อนที่จะถึงเป้าหมาย เราจะรู้ว่าต้องเดินอีกกี่ขั้นถึงจะถึงเส้นชัย ซึ่งต่างจากการตั้งเป้าหมายลอยๆ ที่จับต้องไม่ได้ เพราะเราไม่ได้สร้างบันไดเอาไว้ 

ทว่า การจะสร้างบันไดที่มั่นคงต้องมาพร้อมกับจิตใจที่มั่นคงเช่นกัน คุณลืมกฎข้อที่ 3 ไปหรือยัง ใจดีกับตัวเอง ให้อภัยตัวเอง เปลี่ยนแปลงนิสัยที่เคยทำแล้วรู้ว่ามันไม่ดี หลังจากนั้นให้มองไปข้างหน้าแล้วเริ่มลงมือทำ

และยังคงเป็น ‘ความคิด’ ที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ ถ้าอยากไปได้ไกล จงคิดให้ไกลและลงมือทำก่อนใคร เช่น เราตั้งเป้าว่าในหนึ่งปีจะอ่านหนังสือให้ได้ 100 เล่ม ให้เริ่มต้นจากการอ่านสองสามหน้าก่อนนอน ถ้าเราอยากออกกำลังกายให้ได้วันละสามครั้งต่อสัปดาห์ ลองเริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนชุดออกกำลังกายเพื่อให้สมองคุ้นชินกับพฤติกรรมที่เราทำ ถึงแม้ว่าบางความฝันนั้นดูเหมือนไกลเกินกว่าจะเอื้อมถึง แต่เราจะไม่รู้สึกเหนื่อยที่ต้องทำมันเลย กลับกัน เราจะสนุกไปกับทุกย่างก้าวของการขยับเข้าใกล้มันทีละนิดทีละนิด เราจะมั่นใจและหาคุณค่าของการทำสิ่งสิ่งนั้นเจอ 

อย่ารีบร้อนที่จะเปลี่ยนจาก 0 ให้เป็น 10 หรือ 100 ให้เริ่มจาก 1 เพราะมันเป็นก้าวเล็กๆ ที่มั่นคงและทรงคุณภาพที่จะทำให้ชีวิตเราดีขึ้นอย่างเหลือเชื่อ



แปลและเรียบเรียงจาก:
https://bit.ly/3AhZxPI

#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
#inspiration

ติดตามความเคลื่อนไหวและเนื้อหาน่าสนใจอื่นๆ ได้ที่ https://missiontothemoon.co/

Advertisements