บทเรียนชีวิตจาก ‘แม่’ ที่ประทับใจคุณที่สุดคืออะไร

1102
แม่

‘แม่’ ผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่งที่ทำอาหารอร่อยไม่เหมือนใคร

คนคนเดียวที่รู้เสมอว่า ‘ของที่เราหาไม่เจอ’ นั้นอยู่ตรงไหน

คนที่คอยดูแลทุกคน (และสัตว์ทุกตัว) ในบ้านอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

Advertisements

แม่ คนธรรมดาๆ ที่มาพร้อมกับพลังความรักอันยิ่งใหญ่

ในชีวิตนี้เราได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากแม่ ทั้งเรื่องที่แม่สอนตรงๆ หรือเราแอบจำเอาเองอ้อมๆ ทั้งดีและไม่ดี ทั้งควรทำตามและไม่ควรทำตาม

ในบทความเรื่อง ‘Enduring Lessons From My Mom’

Debra Weiner ผู้เขียนได้แบ่งปันบทเรียนอันล้ำค่า ที่เหล่าบุคคลที่ประสบความสำเร็จเรียนรู้จาก ‘แม่’ ของพวกเขา

Creating Something Out of Nothing: รู้จักสร้างคุณค่าจากสิ่งเล็กๆ รอบตัว

Nick Cave เติบโตในบ้านที่รัฐเป็นคนอุดหนุนให้ เขาเป็นลูกคนที่ 2 จากทั้งหมด 7 คน แถมลูกแต่ละคนยังห่างกันแค่ปีเดียว ครอบครัวของ Nick เป็นครอบครัวชนชั้นกลางระดับล่าง แต่เมื่อมองย้อนกลับไป เขาไม่รู้สึกว่าตัวเองขาดอะไรเลย

เป็นเพราะแม่ของเขามอบประสบการณ์น่าอัศจรรย์ให้มากมาย ประสบการณ์ที่ไม่ต้องพึ่งพาเงินทองหรือของหรูหรา

แม่ของเขาเล่าให้ฟังว่าเย็นวันหนึ่งหลังจากเลิกงาน เธอกลับบ้านมาและพบว่าไม่มีอาหารเหลือในตู้เย็นเลย นอกจากป๊อปคอร์น แต่เธอจะให้ลูกรู้ไม่ได้ว่าเราไม่มีอะไรกิน เลยดึงความสนใจด้วยวิธีอื่น

“เด็กๆ วันนี้เราจะฉลองกัน เราจะดูหนังและกินป๊อปคอร์นกันไปด้วย!”

Nick และพี่น้องต่างพากันตื่นเต้นจนไม่ทันสังเกตความจริงที่ว่าพวกเขาไม่มีอะไรกิน แต่เพราะการที่แม่เปลี่ยนสิ่งเล็กๆ อย่างป๊อปคอร์นให้กลายเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นเช่นนี้แหละ เขาจึงเลือกที่จะมองโลกในแง่ดี และเลือกที่จะจดจำเรื่องราวดีๆ ของแต่ละเหตุการณ์

นอกจากนั้น เวลาเขามอบของอะไรให้แม่ ถึงจะเป็นของเล็กๆ เธอมักจะตอบด้วยความดีใจและภูมิใจจนเขารู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำนั้นมันยิ่งใหญ่มาก

หลังจากที่ฐานะของบ้านเขาดีขึ้นมาหน่อย ทุกๆ ครั้งที่แม่ของเขาทำอาหาร เธอจะทำเผื่อเพื่อนบ้านที่ฐานะไม่ค่อยดีอยู่เสมอ โดย Nick และพี่น้องจะเป็นคนนำอาหารใส่กล่องไปให้ครอบครัวนั้น

แม้ว่าบ้านเขาเองก็ไม่ได้มีเงินทองมากมาย แต่การที่เขาได้มีโอกาสส่งต่อความช่วยเหลือให้ผู้อื่นเช่นนั้น ทำให้เขารู้สึกว่าเขาเองก็สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้

“สิ่งเล็กๆ ก็พิเศษและมีคุณค่าได้” นี่แหละคือบทเรียนล้ำค่าที่แม่มอบให้ 

(Nick Cave เป็นศิลปินชาวอเมริกัน ผลงานของเขาอยู่ในพิพิธภัณฑ์ชื่อดังมากมาย อย่าง MoMA, สมิธโซเนียน และ de Young)

The Courage to Change: กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง

Deb Spera เล่าว่าแม่ของเธอติดเหล้า อาจเป็นเพราะว่าแม่ท้องเธอตอนอายุเพียง 16 และพ่อเธออายุเพียง 19 ทั้งสองหนีตามกันไปยังรัฐเทนเนสซีเพื่อแต่งงาน เพราะแถวบ้านไม่มีใครยอมให้พวกเขาแต่งกันเลย

อยู่กินกันเพียง 12 ปีพวกเขาก็แยกทาง แม่แทบไม่เป็นผู้เป็นคน การงานก็ไม่มีทำ ทั้งคู่ประทังชีวิตด้วยแสตมป์แลกอาหาร (Food Stamps) แต่ทุกครั้งที่แม่ต้องไปแลกของกิน เธอจะสวมวิก สวมผ้าพันคอและแว่นตา เพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่าไม่มีเงิน

แม่เธอดื่มเยอะขึ้น Deb จำได้ว่าหลายครั้งแม่กลับบ้านทีก็แทบจะเช้าแล้ว อีกทั้งตอนเธออายุ 14 เธอจำได้ว่าแม่ของเธอพยายามที่จะจากโลกนี้ไป เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนเราถึงอยากทำอะไรเช่นนี้ จนกระทั่ง Deb โตขึ้นมา เธอจึงเข้าจะว่าแม่เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง และหลายๆ ครั้งแม่ห้ามการกระทำของตัวเองไม่ได้

การโตขึ้นมาในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์แบบกับแม่ที่ติดเหล้าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

แต่สิ่งหนึ่งที่เธอได้เรียนรู้จากแม่คือ ‘ความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง’

ในที่สุดแม่ของเธอก็เลิกดื่ม เลิกสูบบุหรี่ เรียนจนได้วุฒิมัธยมปลาย และทำงานเป็นตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์จนประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน

Deb มองว่าถ้าคนที่ผ่านอะไรมาเยอะอย่างแม่เปลี่ยนได้ เธอคิดว่าเธอก็เปลี่ยนได้เช่นกัน 

Advertisements

สิ่งแรกที่เธอเปลี่ยนคือเธอลาออกจากงานที่ทำให้เธอทุกข์ใจ และหันมาทำงานที่เธอรัก เธอเริ่มเขียนนวนิยายขนาดสั้น และพัฒนามาเป็นนิยายฉบับเต็มที่พึ่งตีพิมพ์ไปเมื่อเดือนมิถุนายนปีก่อน

อีกสิ่งที่เธอเปลี่ยนคือความคิดเธอ จากอดีตเธอมักจะมองว่าเธอเป็น ‘เหยื่อ’ จากครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์แบบ แต่ตอนนี้เธอรู้แล้วว่า คนเราเลือกได้ว่าจะยึดติดอยู่กับอดีตหรือปล่อยมันไป 

การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา แต่เราต้องซื่อสัตย์กับตัวเองมากๆ ในการตระหนักถึงพฤติกรรมของตัวเองและพยายามเปลี่ยนตัวเอง อย่างที่แม่ของ Deb ทำ

เห็นสิ่งที่ไม่ดีและพยายามเปลี่ยนเพื่อสิ่งที่ดีกว่านี่แหละเรียกว่า ‘ความกล้า’

(Deb Spera นักเขียนเจ้าของหนังสือเรื่อง Call Your Daughter Home และโปรดิวเซอร์รายการโทรทัศน์)

The Big D: ความฝันอันยิ่งใหญ่เริ่มต้นจากระเบียบวินัย

แม่ของ Charlene Gehm MacDougcal เป็นเด็กเสิร์ฟในร้านอาหารอิตาเลียน ส่วนพ่อของเธอเล่นดนตรีอยู่ตามบาร์ ครอบครัวของเธอจนมากๆ แต่แม่อยากมอบอะไรที่ ‘พิเศษ’ ให้เธอและพี่สาวเสมอ 

แม่จะแบ่งเงิน 2-3 เหรียญทุกๆ สัปดาห์เพื่อออมไว้ให้เธอกับพี่ทำตามความฝัน และสำหรับ Charlene แล้วฝันของเธอคือการเต้น

ตอน 6 ขวบ เธอเริ่มเรียนเต้นสัปดาห์ละครั้ง ครั้งละเพียง 1 ชั่วโมง แต่คลาสที่สอนทุกอย่าง ทั้งแจ๊ซ บัลเลต์ และกายกรรมรวมกันเช่นนั้น เธอจึงไม่ค่อยได้เรียนรู้มากเท่าไร ดังนั้นอีก 6 วันที่เหลือของสัปดาห์ เธอจึงต้องฝึกฝนอยู่ทุกวัน ฝึกให้คุ้มค่าแก่เงินออมที่แม่ลงทุนไป 

เธอจึงได้เรียนรู้คำว่า ‘ระเบียบวินัย’ ไปโดยปริยาย

ตอน Charlene อายุ 10 ขวบ พี่สาวของเธอเสียชีวิตในอุบัติเหตุ การฝึกของเธอจึงต้องเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เธอต้องทำให้ได้ เพราะที่พ่อแม่ทุ่มเทให้เธอและพี่สาว ตอนนี้เหลือแค่เธอแล้ว

ความเพียรพยายามของ Charlene ประสบความสำเร็จ ตอนอายุ 17 เธอเริ่มต้นเส้นทางของการเป็นนักบัลเลต์อาชีพ เธอได้แสดงที่โรงละครใหญ่ๆ มากมายทั่วโลก 

แต่เธอรู้ว่าเธอไม่สามารถเต้นตลอดไปได้ ช่วง 5 ปีสุดท้ายของอาชีพนักเต้น เธอจึงเก็บเงินทุกบาททุกสตางค์เพื่อเป็นทุนในการศึกษาต่อ และเมื่อเส้นทางนักเต้นของเธอจบลง เธอจึงเข้าเรียนปริญญาตรีที่ New York University และปริญญาโทที่ Columbia University

แน่นอนว่าความสำเร็จด้านการเรียนก็เป็นเพราะ ‘ระเบียบวินัย’ ของเธอเช่นกัน

หากเราไม่มีวินัย เราอาจจะปล่อยทุกอย่างไปง่ายๆ แต่บทเรียนในชีวิตสอนเธอว่าชีวิตนี้สั้นกว่าที่คิด ถ้าไม่ทำวันนี้ก็อาจไม่มีโอกาสได้ทำอีกแล้ว

(Charlene Gehm MacDougcal เป็นนักเต้นบัลเลต์มืออาชีพของบริษัท จอฟฟรีย์ บัลเลต์ บริษัทชั้นนำระดับโลก)

ความสร้างสรรค์ในการเปลี่ยนสิ่งเล็กๆ เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ความกล้าที่จะเปลี่ยน และระเบียบวินัยในตัวเอง สามบทเรียนอันล้ำค่านี้เอง ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของบุคคลเหล่านี้

แล้วคุณผู้อ่านล่ะ พอจะจำได้ไหมว่ามีบทเรียนชีวิตอะไรบ้างที่ได้จากแม่?


แปลและเรียบเรียงจาก

https://nyti.ms/37xdpZK

#missiontothemoon

#missiontothemoonpodcast

#inspiration 

ติดตามความเคลื่อนไหวและเนื้อหาน่าสนใจอื่นๆ ได้ที่ https://missiontothemoon.co/

Advertisements