เยียวยาภาวะ “หัวใจสลาย” และใช้ชีวิตต่อไปแม้จะต้องสูญเสียใครสักคน

2931
1920-How to Fix a Broken Heart

‘เจอกันที่ร้านโปรดของเธอนะ’

‘เคธี’ ยิ้มออกมาเมื่อเห็นข้อความจาก ‘ริช’ ผู้ชายที่เธอคบหาดูใจมาได้ 6 เดือน ช่วงวันหยุดที่ผ่านมา เธอกับเขาได้ใช้ช่วงเวลาแสนวิเศษร่วมกันที่นิวอิงแลนด์ เธอมีความสุขมากๆ เพราะทุกอย่างดีราวกับฝันไป และยิ่งได้เห็นข้อความนี้จากเขา เธอยิ่งตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ เธอรู้ได้เลยว่าเขากำลังจะขอเธอแต่งงานแน่ๆ!

อ่านมาถึงตรงนี้แล้วเราอาจคิดว่าเคธีเป็นสาวช่างฝันเกินไป แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้นเสียทีเดียว
จริงอยู่ที่เคธีจินตนาการถึงงานแต่งในฝันของเธอมาตั้งแต่วัยเด็ก เธอหวังว่าเธอจะได้พบรักดีๆ และได้แต่งงานกับคนที่เธอรักเมื่ออายุ 27 ปี

แต่เมื่อย่างก้าวเข้าวัย 27 สิ่งที่เธอได้พบเจอกลับไม่ใช่สามี แต่เป็น ‘มะเร็ง’

กว่า 4 ปีที่เธอใช้ไปกับการดูแลร่างกายตัวเอง เผชิญกับความเจ็บปวดจากอาการของโรคและขั้นตอนการรักษาจนหายดีในที่สุด มาวันนี้ เธอในวัย 30 กว่าได้เจอผู้ชายที่เข้ากันได้ดีคนหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เธอจะคาดหวังว่าจะได้พบเจอกับสิ่งดีๆ บ้าง หลังจากต่อสู้กับโรคร้ายมานาน

เคธีในชุดเดรสตัวโปรดกลั้นยิ้มแทบไม่ไหวเมื่อเดินเข้าไปในร้านอาหารสุดโรแมนติก ร้านโปรดของเธอที่ริชได้ทำการจองไว้ แต่แล้วหัวใจที่พองโตนั้นก็ต้องแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ เมื่อพบว่าเขาไม่ได้มาเพื่อขอแต่งงาน แต่มาเพื่อขอยุติความสัมพันธ์

“ผมแคร์คุณนะ แต่ผมไม่ได้รักคุณ”

วินาทีนั้นโลกของเคธีพังครืนลงมาในพริบตา

1) เมื่อภาวะ “หัวใจสลาย” ส่งผลร้ายต่อร่างกายกว่าที่เราคิด

แม้จะน่าเศร้าจนเราไม่อยากให้มันเป็นจริง แต่เรื่องราวเหล่านี้ได้เกิดขึ้นจริงๆ กับเคธี ไม่ว่าจะเรื่องมะเร็งหรือถูกบอกเลิก เธอเป็นหนึ่งในคนที่มารับคำปรึกษากับ กาย วินช์ (Guy Winch) นักจิตวิทยา นักเขียน และนักพูดในรายการ TED Talk ที่มียอดผู้ชมกว่า 8 ล้านคน ส่วนหนังสือเรื่อง ‘How to Fix a Broken Heart’ และ ‘Emotional First Aid’ ของเขาก็มียอดขายหลายล้านเล่ม

แล้ว 5 เดือนหลังจากถูกบอกเลิก เกิดอะไรขึ้นกับเคธี

แม้เราทุกคนจะเคยได้ยินคำพูดที่ว่า ‘เวลาจะช่วยเยียวยา’ แต่เราก็บอกไม่ได้อยู่ดีว่าสำหรับแต่ละคน ‘เวลา’ ที่ว่านั้นจะสั้นหรือยาว จะต้องใช้เวลาเป็นวัน เดือน หรือปี สำหรับเคธีนั้น แม้จะผ่านมา 5 เดือนแล้วเธอก็ยังคิดถึงเขาอยู่ประจำ และยังรู้สึกใจสลายไม่ต่างจากวันแรกที่ถูกบอกเลิกเลย

ทำไมผู้หญิงที่เข้มแข็งขนาดต่อสู้กับโรคมะเร็งได้ ถึงทำใจกับเรื่องที่คนมองว่า ‘เล็กน้อย’ อย่างอาการอกหักไม่ได้?

นั่นเป็นเพราะจริงๆ แล้วอาการอกหักส่งผลต่อจิตใจ สมอง และร่างกายมากกว่าที่เราคิด

เวลาเราสูญเสียใครสักคนที่มี ‘สถานะอย่างเป็นทางการ’ ในชีวิตเรา เช่น พ่อ แม่ สามี ภรรยา หรือแม้กระทั่งญาติห่างๆ คนรอบตัวในสังคมมักจะให้กำลังใจและเห็นอกเห็นใจอย่างมาก บริษัทอาจถึงกับอนุญาตให้ลางานเลยด้วยซ้ำ ในทางกลับกัน หากเป็นการสูญเสีย ‘แฟน’ หรือ ‘สัตว์เลี้ยง’ คนในสังคมกลับมองว่าไม่ได้สาหัสเท่าและคาดหวังให้เราก้าวผ่านความโศกเศร้าไปได้อย่างรวดเร็ว

น่าแปลก เพราะจริงๆ แล้วการสูญเสียอย่างหลังนั้นก็ส่งผลกระทบต่อเราไม่แพ้กัน (บางกรณีอาจมากกว่าด้วยซ้ำ)

อีธาน ครอส ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยมิชิแกนได้ทดลองใช้เครื่องสแกน fMRI วิเคราะห์สมองของอาสาสมัครกลุ่มหนึ่งที่เพิ่งเลิกรากับคนรักมา โดยทีมงานได้สังเกตการณ์การตอบสนองของสมอง ระหว่างการแสดงรูปของอดีตคนรักกับการได้รับความเจ็บปวดทางกาย

ผลพบว่าสมองตอบสนองต่อความเจ็บปวดทางจิตใจจากอาการอกหัก ไม่ต่างจากการเจ็บตัวเลย!

มากไปกว่านั้น อาการอกหักยังกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนส์แห่งความเครียดที่ชื่อว่า คอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายทำงานไม่ปกติ ส่งผลให้ร่างกายของเราอ่อนแอลง ป่วยง่าย อาการไม่ต่างกับตอนที่เราเครียดเพราะงานหนักจนไม่สบายเลย


2) เข้าใจสมองของคนอกหักผ่าน ‘คนติดยา’

ทีนี้มาดูกันดีกว่าว่าอาการอกหักทำอะไรกับสมองของเราบ้าง

กาย วินช์ อธิบายว่าสาเหตุที่คนเราย้อนกลับไปนึกถึงภาพในอดีตกับคนรักอยู่บ่อยๆ นั้นไม่ใช่เพราะคิดถึงเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะสมองของเรามองว่า เหตุผลของการเลิกกันนั้น ‘ไม่สมเหตุสมผล’

ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลอย่าง ‘ไม่ได้รักแล้ว’ ‘เราดีเกินไป’ หรือ ‘เราต่างกันเกินไป’ คำบอกเลิกเหล่านี้ฟังดูเรียบง่ายและเล็กน้อย มันไม่ยิ่งใหญ่พอที่จะอธิบายความเจ็บปวดมหาศาลที่เรารู้สึกอยู่ได้เลย!

ด้วยเหตุนี้ หลายๆ คนจึงหมกมุ่นในการหาคำตอบที่เหมาะสมกว่าโดยการย้อนคิดถึงเรื่องวันวานซ้ำแล้วซ้ำเล่า เคธีก็เช่นกัน เพราะเธอเจ็บปวดอย่างมาก เธอจึงเชื่อว่าต้องมีเหตุผลอันยิ่งใหญ่ที่ทำให้เธอถูกบอกเลิก เป็นเพราะนิสัยของเธอหรือเปล่า? เธอทำพลาดตรงไหนไปหรือเปล่านะ? เคธีย้อนคิดถึงเรื่องอดีตเพื่อหาจุดบกพร่องของตัวเอง โดยไม่รู้เลยว่าความพยายามในการหาคำตอบเพื่อความสบายใจ กลับทำให้เธอเศร้านานกว่าเดิมอีก

งานวิจัยเกี่ยวกับสมองแสดงให้เห็นว่า เวลาที่มนุษย์เรา ‘ถอน’ จากความรักนั้น สมองเราตอบสนองไม่ต่างจากอาการถอนยาเสพติดเลย การที่เราต้องเจอคนรักเก่า ใช้เวลาร่วมกับเขา หรือแค่คิดถึงความทรงจำเก่าๆ (แบบที่เคธีทำ) แท้จริงแล้วก็คือจากการกลับไปเสพสิ่งที่เราพยายามเลิก

การพยายามขุดคุ้ยอดีตมีแต่จะทำให้เราลืมไม่ได้ มัวแต่คิดโทษตัวเอง และรู้สึกแย่กับตัวเองไปใหญ่ จากแผลใจที่มีเพียงแค่แผลเดียวจากความสัมพันธ์ กลายเป็นว่าเราได้อีกแผลเพิ่มจากการไม่รักตัวเอง แรงใจและเวลาที่ใช้ในการเยียวยาเลยต้องเพิ่มขึ้นไปอีก

ด้วยเหตุนี้หลายคนจึง ‘มูฟออน’ ไม่ได้เสียที


3) วิธีเยียวยาภาวะหัวใจสลายฉบับนักจิตวิทยา

หากมีเครื่องลบความทรงจำแบบที่ตัวเอกในเรื่อง Eternal Sunshine of Spotless Mind ใช้ลบกันและกันก็คงจะดีไม่น้อย คนจำนวนมากคงไม่ต้องทรมานกับการสูญเสียคนรักอีกต่อไป แต่น่าเสียดายที่ชีวิตจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น

ถ้าหากไม่มีเครื่องลบความทรงจำ พอจะมีหนทางอื่นบ้างมั้ยที่ช่วยให้ความเจ็บปวดนี้หายไปให้เร็วที่สุด

3.1) รับฟังและยอมรับ

กายบอกว่าเวลาจะช่วยเยียวยาก็จริง แต่เราไม่จำเป็นต้องนั่งเฉยๆ จนหายเจ็บก็ได้ (เพราะนั่นอาจใช้เวลานาน) เราสามารถเริ่มต้นได้ด้วยการ ‘รับฟัง’ ไม่ว่าเหตุผลที่อีกฝ่ายใช้จะเป็นเหตุผลแบบที่ริชใช้ (‘ผมแคร์คุณนะ แต่ผมไม่ได้รักคุณ’) หรือเหตุผลอื่นใด ให้เราเลิกฟังเสียงหัวใจอันดื้อด้านที่ชอบคิดเข้าข้างตัวเองสักพัก และฟังด้วยสิ่งที่อีกฝ่ายบอกด้วยความตั้งใจ

จากนั้นก็ ‘ยอมรับ’ เหตุผลนั้นเสีย

เหตุผลที่ว่าอาจทำให้เราเจ็บปวด แต่ทั้งหมดนี้ก็เพื่อตัวเราเอง หากเราไม่ยอมฟัง เราก็คงไม่เข้าใจเสียที่ว่า ‘ไม่ได้รัก’ ก็คือ ‘ไม่ได้รัก’ และต้องเสียเวลาทำร้ายตัวเองซ้ำๆ จากการขุดคุ้ยอดีตอีก อย่างไรก็ตาม หากเหตุผลของอีกฝ่ายไม่สามารถทำให้เราพอใจได้จริงๆ กายแนะนำว่าให้เราเล่าเรื่องจากมุมมองของเรา เล่าในแบบที่เราพอใจ หรือทำอย่างไรก็ได้ให้เราจบประเด็น เลิกถามคำถาม และเลิกโทษตัวเองเสียที

3.2) ปล่อย

อีกขั้นตอนสำคัญในการเยียวยาหัวใจสลายคือการ ‘ปล่อย’

ไม่ใช่เพียงแต่ปล่อยให้เขาเดินจากไป แต่เราต้องปล่อยความหวัง ปล่อยความทรงจำ ปล่อยความเป็นไปได้ระหว่างสองเรา และปล่อยอนาคตที่วางไว้ด้วยกัน หากเป็นไปได้ให้ปล่อย (หรือทิ้งนั่นแหละ) สิ่งของที่ชวนให้นึกถึงเขาไปด้วย จริงอยู่ การปล่อยไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ แต่มันเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก เราอาจเสียดายก็จริง แต่ให้คิดไว้เสมอว่า ในช่วงเวลาที่เรามีกันอยู่ เราได้ทำดีที่สุดแล้ว และเราย้อนไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว

3.3) ใจดีกับตัวเอง

กายแนะนำอีกวิธีซึ่งก็คือ การใจดีกับตัวเอง หรือมี Self-compassion นั่นเอง การหันมามองเห็นคุณค่าตัวเองและเลิกโทษตัวเองจะช่วยรักษาความเจ็บปวดที่มีอยู่ หากเราใจดีกับตัวเองไม่เป็น ให้เริ่มฝึกจากการใจดีกับคนอื่นก่อนก็ได้ เพราะมีงานวิจัยพบว่าการเขียนข้อความให้กำลังใจคนที่กำลังเจอสถานการณ์คล้ายๆ กับเรา มักจะทำให้เรารู้สึกเห็นอกเห็นใจตนเองมากขึ้น

เราอาจเริ่มจากการเขียนจดหมายปลอบเพื่อนในจินตนาการที่กำลังอกหักอยู่ หรือเริ่มจากการแปะคำคมให้กำลังใจตัวเองไว้บริเวณต่างๆ ของบ้าน ตั้งเป็นภาพหน้าจอคอมพ์ และหน้าจอโทรศัพท์ก็ช่วยเสริมแรงใจได้

3.4) เลิกมองแต่ข้อดีของเขา

พอเลิกกันทีไร คนเรามักจะคิดถึงแต่ข้อดีของแฟนเก่าและทำทุกเรื่องให้เป็นเรื่องโรแมนติก ไม่ว่าจะเป็นนิสัยของเค้า รอยยิ้มของเค้า หรือแม้กระทั่งเสียงกรนของเค้า เราทำให้เขาน่าโหยหาจนพาตัวเองเศร้าใจไปหมด ลืมไปหมดเลยว่าเขาก็มีข้อเสียเหมือนกัน! หากเรารู้ตัวว่าในช่วงที่อ่อนไหว เรามักจะคิดถึงแต่เรื่องดีๆ ของเขา ให้เตือนสติตัวเองด้วยการจดลิสต์ ‘ข้อเสีย’ ของเขาแล้วหยิบขึ้นมาอ่านบ้าง

3.5) เราไม่ได้ตัวคนเดียว

กำลังใจจากคนรอบตัว (Social support) เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราก้าวผ่านความสูญเสียไปได้ ดังนั้นถ้าเราเสียใจไม่ไหวและอยากร้องไห้ ก็ลองเล่าให้ใครสักคนฟัง แสดงความอ่อนแอ และปล่อยให้ตัวเองเป็นฝ่ายถูกปลอบบ้างก็ได้


แม้จะแหลกสลาย แต่เราสามารถหยิบชิ้นส่วนมาประกอบร่างสร้างใหม่ได้เสมอ มันอาจต้องใช้เวลานานกว่าคนอื่นบ้าง อาจเป็นการต่อสู้ที่เต็มไปด้วยน้ำตา และบางวันอาจรู้สึกท้อแท้เป็นพิเศษ แต่วันใดวันหนึ่งชิ้นส่วนที่เคยแหลกสลายเหล่านี้จะประสานกัน เป็นหัวใจดวงเดิมที่เต้นด้วยความหวังครั้งใหม่ และเป็นหัวใจดวงเดิมที่แข็งแรงกว่าที่เคย

เพราะเราเยียวยามันด้วยความรักจากตัวเราเอง


อ้างอิง:
หนังสือ How to Fix a Broken Heart
https://bit.ly/3GQsbe4

#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
#inspiration

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่