- จากการไปสำรวจผู้บริหารมากกว่า 1,500 คน Mckinsey ก็ได้ข้อสรุปว่า บริษัทที่มี digital leader จะสามารถขับเคลื่อนองค์กรได้เร็วกว่าคนอื่นๆ ถึง 4 เท่า!
- 5 เรื่องควรทำขององค์กรที่ต้องการจะเป็นผู้เล่นที่ดีในยุค Digital
- 1. วิเคราะห์และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง (บ่อยๆ)
- 2. ผู้บริหารระดับสูงต้องให้เวลาในการศึกษาเทคโนโลยีใหม่ๆ
- 3. สร้าง – วัดผล – เรียนรู้ – “แชร์”
- 4. ปรับกระบวนการต่างๆ ต้องถูกเร่งให้เร็วขึ้น
- 5. ระบุเช็คลิสสิ่งที่องค์กรควรทำให้ชัดเจน
ผมได้อ่านบทความหนึ่งจาก Mckinsey quarterly ชื่อบทความว่า The drumbeat of digital: How winning teams play เป็นบทความที่น่าสนใจมากครับ ในบทความเขาพูดถึงความเป็น “digital leader” (ผู้นำในยุคดิจิทัล) กับ “digital team” (ทีมในยุคดิจิทัล) หรือพูดง่ายๆ ก็คือคนที่ทำ digital transformation แล้วเวิร์ค
จากการไปสำรวจผู้บริหารมากกว่า 1,500 คน ของ Mckinsey เขาก็ได้ข้อสรุปออกมาว่า บริษัทที่มี digital leader จะสามารถขับเคลื่อนองค์กรได้เร็วกว่าคนอื่นๆ ถึง 4 เท่า!
ในบทความนี้ผมเลยขอหยิบประเด็นที่น่าสนใจจากบทความของ Mckinsey มาย่อยให้อ่านกันครับ
วิเคราะห์และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง (บ่อยๆ)
คำถามสำคัญที่ต้องถามในเรื่องนี้ก็คือ องค์กรของเราเอาข้อมูลของลูกค้ามาวิเคราะห์บ่อยแค่ไหน แล้วก็ไม่ใช่แค่วิเคราะห์เฉยๆ นะครับ วิเคราะห์แล้วก็ต้องหาทางพัฒนาให้ดีขึ้น สร้างความพึงพอใจของลูกค้าให้มากขึ้น (delighting your customers)
ผู้บริหารระดับสูงต้องให้เวลาในการศึกษาเทคโนโลยีใหม่ๆ
ผู้บริหารที่มีอำนาจในการตัดสินใจต่างๆ ต้องแบ่งเวลาในการศึกษาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของตัวเอง ต้องกลับมาทบทวนว่าตอนนี้เทคโนโลยีใหม่ๆ มันมีอะไรบ้าง แล้วมันเกี่ยวข้องกับธุรกิจของเราอย่างไร อย่าคิดว่าถ้ามีมาใหม่เมื่อไหร่ก็จะมีคนเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาเสิร์ฟให้คุณเองถึงออฟฟิศ ผู้บริหารหลายคนอาจจะคิดแบบนั้น ต้องบอกว่ามันอาจจะจริงอยู่บางแต่ก็ไม่เสมอไปนะครับ บางทีก็มีของใหม่ๆ ดีๆ ที่เราก็เองไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมี ปล่อยให้บริษัททนใช้ของเก่าที่ทั้งห่วยและแพงอยู่ ทั้งๆ ที่มันมีของใหม่ที่ดีกว่าเยอะ เพียงแค่ว่าเราไม่รู้จักมันเท่านั้นเอง
อย่างในแต่ก่อนเรื่องของเทคโนโลยี เราอาจจะมีการเรียนรู้หรือมารีวิวกันว่ามีเทคโนโลยีอะไรใหม่ๆ บ้าง ที่เกี่ยวข้องหรือส่งผลกระทบต่อธุรกิจของเรา ในทุกๆ ไตรมาส แบบนี้ก็ถือว่าบ่อยแล้วใช่ไหมครับ แต่ mckinsey บอกว่าตอนนี้ควรทำทุกเดือน
สร้าง – วัดผล – เรียนรู้ – “แชร์”
กระบวนการในทำงานยุคนี้สิ่งที่เราทำกันเยอะๆ เลยก็คือ “Rapid Prototype” (การสร้างสินค้าต้นแบบอย่างรวดเร็ว) หรือ “Build – Measure – Learn” (สร้าง-วัดผล-เรียนรู้) แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับว่าเราทดลองกันบ่อยแค่ไหน หรือทำสินค้าใหม่ๆ ด้วยการสร้างต้นแบบอย่างรวดเร็วถี่แค่ไหน แต่คำถามของเรื่องนี้คือ หลังจากทำกระบวนการเหล่านี้เสร็จแล้ว เราได้เอาสิ่งที่เราเรียนรู้ มาแชร์หรือแบ่งปันให้กับคนอื่นๆ ในองค์กรหรือเปล่า เพราะถ้าเกิดทำกันอยู่แต่ในทีมเล็กๆ มันก็เป็นประโยชน์แค่ในทีมเล็กๆ แต่การทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึง “ชุดความรู้ที่เกิดจากกระบวนการ” ต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญ เพราะทุกคนในองค์กรจะได้เรียนรู้ไปด้วยกัน
กระบวนการเรียนรู้ หรือ Learning ถือว่าเป็นแก่นที่สำคัญมากๆ สำหรับบริษัทที่ประสบความสำเร็จ
10 กระบวนการที่ถูกเร่งให้เร็วขึ้น
- ใช้ข้อมูลจากหลากหลายแหล่งเพื่อวิเคราะห์หาความต้องการที่หลบซ่อนอยู่ของลูกค้า : จาก รายเดือน เป็น รายสัปดาห์
- ผู้บริหารระดับสูงต้องจัดสรรเวลามาเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของตัวเอง : จาก รายไตรมาส เป็น รายเดือน
- แชร์ข้อมูลต่างๆ ในระดับองค์กร : จาก รายไตรมาส เป็น รายเดือน
- ปรับโมเดลธุรกิจให้สอดคล้องกับโอกาสในโลกยุค Digital : จาก รายปี เป็น รายไตรมาส
- ปรับผัง – หมุนเวียน บุคลากรด้าน Digital ในแต่ละแผนก : จาก รายปี เป็น รายไตรมาส
- ใช้เวลาคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ต่างๆ ว่ามีอะไรบ้างที่มีผลกระทบต่อธุรกิจ : จาก รายปี เป็น รายไตรมาส
- ประเมินพอร์ตโฟลิโอของธุรกิจว่าจะ เพิ่ม – ลด – รวม อะไรได้บ้างเพื่อเพิ่มโอกาสในยุค Digital : จาก รายปี เป็น รายไตรมาส
- ประเมินโครงสร้างกำไรโดยพิจารณาจากการเปลี่ยนแปลง ทั้งจากลูกค้าและคู่แข่ง : จาก รายปี เป็น รายไตรมาส
- การจัดสรรเงินลงทุน/ทรัพยากร ในธุรกิจ : จาก รายปี เป็น รายไตรมาส
- พิจารณาการตัดงบ/โยกย้ายทรัพยากร ของโปรเจกต์ที่ไม่เวิร์ค : จาก รายปี เป็น รายไตรมาส
เราจะเห็นได้ว่าทุกอย่างถูกเร่งให้เร็วขึ้นทั้งหมด เรื่องนี้มีความสำคัญมาก เพราะถ้าหากเราไม่ทำแต่คู่แข่งเราทำ สิ่งที่เขาได้ไปจะไม่ใช่แค่ลูกค้าและเงินเท่านั้น แต่เขาจะมี “Data” (ข้อมูล) มากกว่าเราด้วย ซึ่งตัวข้อมูลนี่ล่ะ ที่อาจจะเป็นตัวตัดสินในเกมนี้เลยก็ว่าได้ ว่าใครจะเป็นผู้แพ้หรือผู้ชนะ
ดังนั้นถ้าพูดกันถึงเรื่องของ “Data” แต่ก่อนเราอาจจะเอามาวิเคราะห์กันเป็นรายเดือน แต่ทุกวันนี้ควรจะต้องทำกัน “รายสัปดาห์หรือบางทีต้องทำเป็นรายวันเลย” ด้วยซ้ำ
ถ้ามองดูอย่างผิวเผินกระบวนการเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นการเพิ่มงาน แต่จริงๆ แล้วไม่เลย แถมยังช่วยลดงานได้อีกตั้งหาก เพราะคนทำงานได้ทบทวนตัวเองตลอดเวลา ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ทำให้สามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ฉะนั้นในระยะยาวแล้วกระบวนการเหล่านี้มันจะช่วย “ลดงาน”
นอกจากกระบวนการต่างๆ ที่ถูกปรับให้เร็วขึ้นแล้ว เรื่องของการ “แชร์” ไม่ว่าจะทั้ง ทรัพยากร, ข้อมูล, การทดสอบ-ทดลองสมมติฐาน ก็เป็นเรื่องที่ควรจะทำกันเป็นรายสัปดาห์ ทุกๆ สิ้นสัปดาห์ ทุกทีมควรจะเขียนสรุปว่าตัวเองได้ทำอะไร และเรียนรู้อะไรบ้างจากการทำงานในสัปดาห์ที่ผ่านมา
หากเราสามารถปรับการทำงานให้เป็นแบบนี้ได้ มันจะทำให้เกิดสองสิ่งนี้ขึ้นครับ
- ลดเรื่องของ Silo (ไซโล – คือการทำงานแบบ แผนกใคร แผนกมัน)
- ทุกคนในองค์กรจะได้ “โฟกัสไปที่ลูกค้า ไม่ใช่ในไซโลของตัวเอง”
เช็คลิสที่องค์กรควรมี เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง
1. เรียนรู้เรื่อง Digital ตลอดเวลา
ผู้บริหารควรจะต้องรู้ความเป็นไปของเทคโนโลยีต่างๆ และควรที่จะต้องเข้าใจในเชิงลึกด้วย ไม่ใช่รู้แค่ผ่านๆ แต่ต้องเข้าใจให้ได้ว่าเทคโนโลยีต่างๆ เหล่านี้ จะสามารถนำมาปรับใช้ใน องค์กร – ในการทำงาน ได้อย่างไร
2. แชร์ข้อมูลเชิงลึกด้วยความเร็วเดียวกับ Digital
แน่นอนว่าไม่ใช่แค่การทำรายงาน 20 หน้า แล้วส่งไปให้กับคนทั้งบริษัท (ซึ่งก็ไม่มีคนอ่านอยู่ดี) แต่มันควรจะเป็น “ข้อมูลที่ทุกคนสามารถเข้าใจได้ง่าย ไม่ซับซ้อน”
3. จัดสรร – หมุนเวียน คนที่มีความสามารถด้าน Digital
ทำให้กลุ่มคนนี้มีความคล่องตัวสูง และสามารถที่จะปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว เพื่อทำให้เขาได้เห็นปัญหา จากหลายๆ แผนก สามารถเอาเรื่องที่เรียนรู้มาจากแผนกอื่นๆ มาปรับใช้ในการแก้ปัญหาให้กับแผนกอื่นๆ ได้
4. การจัดสรรทรัพยากรต้องยืดหยุ่น
แต่ก่อนเราอาจจะแบ่งงบกันเรียบร้อยตั้งแต่ต้นปี ทำให้คนส่วนใหญ่ลังเลมากที่จะต้องย้ายเงินจากแผนกหนึ่งไปยังอีกแผนกหนึ่ง เพราะกลัวแผนกที่ถูกตัดงบหรือดึงทรัพยากรออกไปรู้สึกแย่ เรื่องนี้สามารถทำให้ทุกคนสบายใจได้ด้วยการ “ทำทุกอย่างให้โปร่งใส” ต้องอธิบายกับทุกคนได้ว่าทำไมถึงต้องมีการโยกย้ายทรัพยากร “จัดสรรใหม่ได้ แต่ทุกอย่างต้องโปร่งใส”
5. ต้องเปลี่ยนวัฒธรรมองค์กร
ต้องให้ทุกคนในองค์กรเข้าใจถึงสถานการณ์ว่า ทำไมเราถึงต้องปรับความเร็วให้สูงขึ้นแบบนี้ ทำไมเราถึงต้องเปลี่ยนแปลง ทุกคนในองค์กรต้องเข้าใจให้ได้ว่า “เราจะเร็วไปทำไม”
สิ่งที่ผมอยากจะบอกทิ้งท้ายกับทุกคนก็คือ บนโลกใบนี้มีความจริงอยู่ข้อหนึ่งคือ… “ไม่ว่าคุณกับธุรกิจของคุณจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ก็ตาม แต่โลกจะต้องถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอน” เพราะฉะนั้นถ้าคุณเปลี่ยนก่อน คุณก็มีโอกาสเป็นคนที่เปลี่ยนโลก แต่ถ้าคุณไม่เปลี่ยนโลกจะเปลี่ยนคุณ