Sponsored Content…
วันนี้จะมาเขียนถึงเรื่อง Music Marketing ครับ แต่ก่อนจะเล่าถึงเรื่องดนตรีกับการตลาด ผมขอปูทางเพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่ดนตรีกระทำกับสมองของเราเพิ่มสักเล็กน้อยครับ
ผมเชื่อว่าทุกวันนี้คงไม่มีใครที่ไม่เคยดูหนัง ถึงบางคนจะไม่ชอบดู แต่ก็น่าจะเคยผ่านตากันมาบ้าง แล้วช่วงเวลาที่เรากำลังดูหนังอย่างใจจดใจจ่อ จังหวะที่เรากำลังอินและลุ้นไปกับเรื่องราวในหนัง เราเคยสังเกตไหมครับว่า…
ในทุกซีนสำคัญของหนังที่ผู้กำกับพยายามจะเล่นกับอารมณ์และความรู้สึกของคนดูอย่างเราๆ ไม่ว่าจะ กลัว, ตื่นเต้น, เศร้า, สุข มักจะมีซาวน์หรือดนตรีที่บ่งบอกถึงสถานการณ์ที่ตัวละครกำลังเผชิญอยู่ ยังนึกไม่ออกใช่ไหมครับ งั้นลองนึกถึงหนังเรื่อง Mission: Impossible ดูครับ และนึกต่อไปถึงฉากที่ Tom Cruise กำลังปฏิบัติภารกิจสุดระทึก ไม่ว่าจะไต่ตึกระฟ้า ลักลอบเข้าไปทำภารกิจในสถานที่เสี่ยงอันตราย วิ่งไล่ล่ากับตัวร้ายกลางพายุทะเลทราย
ตอนนี้ผมว่าน่าจะมีหลายคนล่ะครับ(ยกเว้นคนที่ไม่เคยดู) ที่ตอนนี้ในหัวนั้นมีเสียงเพลงประกอบอันเป็นเอกลักษณ์กำลังบรรเลงอยู่ ตัวอย่างของเพลงประกอบภาพยนต์ระดับตำนานอย่าง Mission: Impossible น่าจะเป็นหนึ่งตัวอย่างที่ทำให้เราเข้าใจได้อย่างชัดเจนจริงๆ ว่าดนตรีนั้นมีผลต่ออารมณ์ ความรู้สึก และการจดจำของเรามากจริงๆ
และดนตรีนั้นก็ไม่ใช่สิ่งใหม่ที่เพิ่งเข้ามามีบทบาทกับวัฒนธรรมของคนเราแต่อย่างใดครับ เพราะถ้าว่ากันตามประวัติศาสตร์แล้ว ดนตรีนั้นปรากฏอยู่ในวัฒนธรรมที่เก่าแก่มากมายในแทบจะทุกที่บนโลกใบนี้ เป็นสิ่งที่นักมานุษยวิทยาเรียกกันว่า “วัฒนธรรมสากล”
มีการศึกษามากมายที่แสดงให้เห็นว่าดนตรีนั้นสามารถเข้าไปกระตุ้นการรับรู้ของสมองในหลายส่วน แน่นอนรวมถึงส่วนที่เป็นอารมณ์ด้วย นอกจากนี้ดนตรียังมีความสามารถในการพาเราย้อนเวลากลับไปสู่อารมณ์ความรู้สึกในห้วงอดีตได้อีกด้วย
ด้วยความสามารถในการเป็นสื่อกลางทางอารมณ์ที่ทรงพลัง พร้อมทั้งคุณสมบัติทางจิตวิทยาที่เป็นเอกลักษณ์ จึงไม่แปลกที่เรามักจะเห็นนักการตลาดหยิบเอาดนตรีเข้ามาใช้ในการทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง เพราะในแง่ของนักการตลาดนั้น ดนตรีก็เปรียบเสมือนภาษาหนึ่ง ที่ใช้ในการสื่อสารกับกลุ่มลูกค้า เชื่อมโยงอารมณ์ของลูกค้าเข้ากับแบรนด์
กรณีศึกษาที่น่าสนใจของ BMW ประเทศไทยกับการใช้กลยุทธ์ Music Marketing
อย่างในบ้านเราเมื่อไม่นานมานี้ ค่ายรถหรูจากเยอรมัน ล่าสุดก็มีแคมเปญที่สามารถเรียกได้ว่าเป็น Music Marketing แบบสเปเซี่ยลสุดๆ ด้วยการเปิดตัว โปรเจกต์ Be My World ในงาน Bangkok International Motor Show 2019 ที่ใช้เปิดตัวรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู 3 รุ่น คือ The All-New BMW Z4, BMW X7 และ The All-New BMW 3 Series พร้อมกับคอนเสิร์ตของศิลปินชื่อดังอย่าง ป๊อด-ธนชัย อุชชิน, มาเรียม เกรย์ และ เวย์ DaBoyWay โดยใช้เพลงที่มี 3 สไตล์ เพื่อเป็นตัวแทนของรถยนต์ทั้ง 3 รุ่น
หลังจากประสบความสำเร็จอย่างมากในโปรเจกต์ Be My World ก็ถูกนำมาต่อยอดเป็นโปรเจกต์แผ่นเสียงไวนิลที่สร้างความพิเศษมากยิ่งขึ้นไปอีก วันนี้เราจะมาคุยกันครับว่า อะไรทำให้โปรเจกต์นี้เกิดขึ้น เบื้องหลังวิธีคิดในการทำ Music Msrketing ของ BMW ประเทศไทยคืออะไร
สร้างประสบการณ์ร่วมกันระหว่างลูกค้ากับ BMW
ดนตรีสามารถช่วยสร้างประสบการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้แบรนด์ไม่ใช่เป็นแค่ตัวกลางในการนำเสนอสินค้าหรือบริการ แต่ดนตรีทำให้แบรนด์สามารถนำเสนอความรู้สึกและความทรงจำที่เป็นเอกลักษณ์ร่วมกันกับลูกค้าได้
เพิ่มความพิเศษให้กับแบรนด์ BMW
ส่วนหนึ่งของเพลงในโปรเจกต์แผ่นเสียงที่ทาง BMW นำมาใช้นั้น เป็นเพลงของพี่บอย โกสิยพงษ์ ที่ไม่เคยเผยแพร่ที่ไหนมาก่อน เป็นเหมือนขุมทรัพย์สำคัญของโปรเจกต์แผ่นเสียงไวนิลนี้ โดยคุณเศรษฐิพงศ์ อนุตรโสตถิ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เล่าว่า “เหมือนกับเราทำอาหาร โปรเจกต์ไวนิลอันนี้ที่เราเอาเพลง Be My World มารวมเข้าไว้ด้วยกัน จากการที่เรานำส่วนผสมที่ดีมาทำอาหารจำนวนไม่มากให้กับคนที่เราคิดว่าคือคนที่ใช่ แผ่นไวนิลนี้เราทำออกมาทั้งหมด 500 แผ่น เราคิดว่าในกลุ่ม BMW มีกลุ่มคนที่อยากสะสมแผ่นเหล่านี้และอยากได้ยินเพลง Be My World และรวมถึงเพลงของพี่บอยที่ยังไม่เคยได้เผยแพร่ที่ไหนมาก่อน”
แผ่นเสียงไวนิล กับ ยุคที่ทุกอย่างเป็น streaming
อยากที่เรารู้กันดีว่าในทุกวันนี้คงไม่มีใครมานั่งเปิดซีดีฟังกันแล้ว (อาจจะมีแต่ก็น้อยมาก) แต่ถ้าทำอัลบั้มขึ้นมาแล้วเอาไปปล่อยใน streaming ความพิเศษ หรือ ความขลัง ก็จะหายไป
นั้นจึงเป็นเหตุผลที่ คุณเศรษฐิพงศ์ อนุตรโสตถิ ในฐานะผู้ริเริ่มโปรเจกต์มีความรู้สึกว่า “ในเมื่อเทรนด์ของแผ่นไวนิลนั้นเริ่มกลับมา และมันก็มีเสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากๆ เรียกว่าเป็นการผสมความคลาสสิกกับเทคโนโลยีเข้าไว้ด้วยกันก็ได้ เพราะเทคโนโลยีเครื่องเล่นแผ่นในปัจจุบันมันผสมผสานกันทั้งหมด ด้วยเครื่องเสียงที่ทันสมัย ใช้ลำโพงที่เป็นเทคโนโลยีสุดยอด ใช้ไดรเวอร์ฮอร์นกับลำโพง มันย้อนเวลากลับไปอดีต และมันก็มีกลิ่นอายของปัจจุบันด้วยเพลงที่เราแต่งขึ้นใหม่ เหมือนการทำอาหารที่เชฟมิชลินทำจากส่วนประกอบหรือวัตถุดิบที่ดี เป็นอาหารจานอร่อย ไม่ต้องปริมาณมาก แต่มีคุณภาพมาให้พวกเราได้ชิม”
นอกจากความพิเศษที่ได้จากการครอบครองแผ่นเสียงที่จัดทำขึ้นเพียง 500 แผ่น แล้วอีกเรื่องที่ผมคิดว่าแคมเปญนี้ได้ทำให้เกิดขึ้นก็คือ เรื่องของการ Connect ผู้คนเข้ากับเพลงของโปรเจกต์ Be My World เมื่อคนได้ยินหรือได้ฟังเพลงนี้ก็จะนึก BMW เป็นการเพิ่มความผูกพันระหว่างลูกค้ากับแบรนด์ได้อย่างดี
ผมคิดว่านี้เป็นหนึ่งมุมมองที่น่าสนใจกับการใช้กลยุทธ์ Music Marketing สำหรับนักการตลาดหรือคนที่กำลังปลุกปั้นแบรนด์อยู่ ครั้งต่อไปเมื่อต้องทำแคมเปญ อย่าลืมที่จะให้ดนตรีได้เป็นส่วนหนึ่งในแคมเปญเพื่อเชื่อมโยงความรู้สึกของผู้คนเข้ากับแบรนด์ของคุณด้วยล่ะครับ ^^