เพื่อนๆ คิดว่าชีวิตนี้จะมีซีรีส์กี่เรื่อง ที่ยังไง๊ยังไง ก็ไม่ควรพลาดรับชมด้วยประการทั้งปวง?
สำหรับผม 3 ในนั้นต้องขอยกให้ “ซีรีส์ชุด Reply” ทั้ง 1994, 1997 และ 1988 ผลงานแจ้งเกิดของ ชินวอนโฮ ผู้กำกับหนังสายฟีลกู๊ด ที่ได้ฝากรอยยิ้มปนคราบน้ำตาไว้ในหัวใจของใครหลายคนมาแล้ว
และถือเป็นโชคดีที่ผลงานกำกับของเขา ไม่ว่าจะเป็น Reply สามภาค, Hospital Playlist, Prisoner Playbook นั้นได้เปิด Streaming อยู่บน Netflix ณ ตอนนี้
แน่นอนว่าเราอยากแนะนำให้คอซีรีส์ทุกคน ควรสละเวลาอันมีค่า แล้วรีบมาดูเป็นอย่างยิ่ง เพราะอีกแค่ 10 วัน ผลงานเหล่านี้ จะต้องโบกมือลาหน้าจอ Netflix กันไปในวันที่ 30 กันยายนนี้แล้ว!
Reply 1997 (2012)
ภาคแรกของจักรวาล ‘Reply’ ที่จะพาทุกคนย้อนเวลากลับไปในปี 1997 ยุคเฟื่องฟูของวงการ K-POP ที่ได้พูดถึงเรื่องราวของกลุ่มเพื่อนมัธยม มีการพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ การตกหลุมรัก การแอบรักเพื่อนสนิท และ “การตกหลุมรักไอดอลเกาหลี!”
ซึ่งจากเรื่องนี้นี่แหละ ที่เป็นตัวจุดประกายเทคนิค “ซ่อนพระเอก” ที่ต่อมาถือว่ากลายเป็นเอกลักษณ์ของซีรีส์ชุด Reply เลยก็ว่าได้
ถ้าอยากรู้ว่าระหว่าง H.O.T หรือ Sechs Kies วงไหนจะชนะ..เอ๊ย ถ้าอยากรู้ว่าความสัมพันธ์ในเรื่องนี้จะวุ่นวายขนาดไหน น่ารัก เศร้า ซึ้งตรึงใจยังไง ต้องไปตามดู!
Reply 1994 (2013)
ผลงานชุด ‘Reply’ เรื่องที่ 2 ซึ่งถูกปล่อยออกมาหลัง Reply 1997 (ภาคแรก)
เพียงหนึ่งปี และถ้าจะเรียกว่าเขาเป็นภาค 2 ก็คงจะไม่ถูกนัก เพราะเรื่องราวไม่ได้เชื่อมต่อกับตัวละครในเรื่องแรกเลยสักนิด
โดยในภาคนี้เขาจะพาเราย้อนไปอยู่ในยุค 1994 ที่มีวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเดินทางจากต่างจังหวัดเข้ามาอยู่ในกรุงโซล และอาศัยอยู่ด้วยกันในบ้านเช่าเล็กๆ เกิดเป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ครอบครัว มิตรภาพ และความรัก
แฟนๆ หลายคนยกให้ภาคนี้เป็นภาคที่ชื่นชอบมากที่สุด เพราะความรู้สึกที่ส่งผ่านมายังคนดูมันช่างหวานซึ้งเศร้าเหงาฮา เรียกได้ว่าครบรส จนไม่อยากให้เรื่องราวนี้ดำเนินไปถึงตอนจบเลยล่ะ
Reply 1988 (2015)
ผลงานเรื่องสุดท้ายของจักรวาล ‘Reply’ ที่ออกมาใหม่สุด แต่จะพาเราย้อนเวลาไปไกลที่สุด
ในภาคนี้เขาพาเราย้อนไปไกลถึงปี 1988 โดยในครั้งนี้จะเน้นไปที่ความสัมพันธ์ของกลุ่มเพื่อนๆ ที่อยู่ละแวกบ้านใกล้กัน และสนิทกันมาตั้งแต่เด็กๆ
นอกจากเรื่องราวในฝั่งของกลุ่มวัยรุ่นแล้ว ยังบอกเล่าความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัว ที่ทำออกมาได้น่ารัก ซึ้งใจ สอนให้เห็นถึงแง่มุมต่างๆ ที่จะชวนให้หัวใจพองโตขึ้นมาได้ง่ายๆ เลย
แม้ว่าภาคนี้จะย้อนกลับไปนานแค่ไหน แต่ความสนุกก็ยังไม่มีลด และขึ้นชื่อว่า Reply ดูให้ตายก็ยังว่าดี ทำให้ภาคนี้กวาดเรตติ้งได้สูงที่สุดแซงรุ่นพี่ 1994 และ 1997 ไปเลยทีเดียว
สำหรับเอกลักษณ์ของเรื่องอย่าง “พระเอกที่แท้จริง” แน่นอนว่าทุกคนก็จะต้องไปทายกันในตอนจบของเรื่องเท่านั้น!
#missiontopluto
#missiontoplutopodcast
#activity
ติดตามความเคลื่อนไหวและเนื้อหาน่าสนใจอื่นๆ ได้ที่ https://missiontothemoon.co/category/entertainment/