ENTERTAINMENTเปิดแฟ้มคดีที่ 120 ลูกสาวสุดเลือดเย็น กับหุ่นเชิดผู้ถูกขายฝัน ที่ไม่มีวันเป็นจริง

เปิดแฟ้มคดีที่ 120 ลูกสาวสุดเลือดเย็น กับหุ่นเชิดผู้ถูกขายฝัน ที่ไม่มีวันเป็นจริง

เมื่อกลางดึกคืนหนึ่ง ของวันที่ 3 มิถุนายน ปี 2016 ณ เมืองอาร์โบก้า (Arboga) ประเทศสวีเดน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับการแจ้งเหตุฉุกเฉิน จากบ้านพักหลังหนึ่งว่า ได้มีการบุกรุกทำร้ายร่างกายเกิดขึ้น โดยผู้ที่เป็นคนโทรแจ้งเข้ามาก็คือ อัน-คริสติน โมลเลอร์ (An-Kristin Möller) หนึ่งในเหยื่อที่ถูกทำร้าย

ระหว่างการเดินทางไปยังที่เกิดเหตุ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็คาดว่า นี่ก็คงเป็นอีกเคสคดีปกติทั่วไป ที่เหล่าคนรวยปาร์ตี้กันอย่างมึนเมา จนเกิดการทะเลาะวิวาท และทำร้ายร่างกายกันเอง ซึ่งบางครั้งพอไปถึงจริงๆ เรื่องทุกอย่างนั้นก็แทบจะไม่มีอะไรเลย แต่ผู้แจ้งเหตุมีอาการมึนเมาจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ก็เลยแต่งเรื่องแต่งราวซะใหญ่โต

แต่เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าไปถึงจุดเกิดเหตุ พวกเขาก็พบกับร่างของ ยูอัน โมลเลอร์ ผู้เป็นสามี นอนจมกองเลือดอยู่อย่างไร้วิญญาณ และ อัน-คริสติน โมลเลอร์ ผู้เป็นภรรยา นอนหายใจรวยรินอยู่ข้างๆ ซึ่งพอเห็นอย่างนั้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็รีบปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้กับ อัน ทันที พวกเขารีบนำเธอไปส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน และสามารถช่วยชีวิตเธอเอาไว้ได้อย่างหวุดหวิด

หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ทำการตรวจสอบภายในบ้าน เพื่อหาร่องหายการบุกรุกจากภายนอก แต่ว่ากลับไม่พบร่องรอยการงัดแงะจากภายนอกเลย ทรัพย์สินของมีค่าต่างๆ อย่างโทรศัพท์มือถือ หรือกระเป๋าเงินก็วางอยู่บนโต๊ะ ไม่ได้หายไปไหน ดูแล้วไม่น่าจะเป็นการบุกรุกจากภายนอกเพื่อหวังชิงทรัพย์ จากคำให้การของ อัน-คริสติน โมลเลอร์ ผู้เป็นภรรยา ก็บอกว่าเธอกับสามีไม่ได้มีศัตรู หรือปัญหาส่วนตัวกับใครเลย มีแต่จะทะเลาะกับลูกสาวคนเล็กเพียงเท่านั้น ดังนั้นตำรวจจึงมุ่งความสนใจไปที่ อัน-คริสติน โมลเลอร์ ผู้เป็นภรรยา โดยตั้งสันนิษฐานว่าเธอนี่แหละ น่าจะเป็นคนร้ายที่ลงมือฆ่าสามีของตัวเอง

เหลือเพียงแค่ว่า พวกเขายังไม่มีหลักฐานเท่านั้นเอง แต่ก่อนจะสืบสวนอะไรต่อไป ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นก็ได้ติดต่อสมาชิกในครอบครัวโมลเลอร์ ที่มีลูกสาวด้วยกัน 2 คน โดยลูกสาวคนโต เมื่อได้ทราบข่าวการเสียชีวิตของพ่อ และแม่กำลังรักษาตัวอยู่ใน ICU ก็ถึงกับเป็นลมล้มพับไป ผิดกับลูกสาวคนเล็ก ที่เมื่อได้รับฟังข่าวจากตำรวจแล้ว เธอกลับนิ่งเฉย และดูไม่มีอาการตกใจอะไรเลย แถมพูดออกมาว่า “น่าเสียดายจัง…คนที่ตายน่าจะเป็นแม่มากกว่า” ซึ่งประโยคนี้เองก็ทำให้รูปทรงของคดีฆาตกรรมนี้ เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ซึ่งผู้ต้องสงสัยหลักก็คือ โยฮันนา โมลเลอร์ (Johanna Möller) ลูกสาวคนเล็กของเหยื่อทั้งสองนั่นเอง

โยฮันนา หญิงสาวที่ดูเหมือนจะธรรมดา แต่แท้จริงไม่ธรรมดา

โยฮันนา โมลเลอร์ อายุ 41 ปี เป็นลูกสาวคนสุดท้องของบ้านโมลเลอร์ เธอเกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่น และพร้อมจะสนับสนุนลูกๆ ในทุกๆ ด้าน ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนปากกัดตีนถีบ แต่ตอนอายุได้ 18 ปีเธอพลาดตั้งท้องจนทำให้แผนหลายๆ อย่างในชีวิตต้องหยุดชะงักไป แต่หลังจากคลอดลูกคนแรก เธอพยายามกลับมาสมัครเรียนพยาบาล แต่ก็ไม่สำเร็จ จนสุดท้ายเธอก็เรียนจบมหาวิทยาลัยได้ในภาควิชาสังคมสงเคราะห์

โยฮันนา ดูเผินๆ แล้วก็เหมือนกับหญิงสาวธรรมดาทั่วไป แต่เมื่อเธอตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรม เธอจึงถูกขุดประวัติลึกลงไปเรื่อยๆ จนตำรวจพบเรื่องน่าสงสัยว่า ตลอดชีวิตที่ผ่านมา โยฮันนา ไม่มีเพื่อนสนิทแม้แต่คนเดียวเลย โดยที่เพื่อนร่วมชั้นเรียนของเธออธิบายว่า​​โยฮันนาเป็นคนที่ค่อนข้างเก็บตัว แต่กลับก้าวร้าว ไม่ค่อยรักษาน้ำใจคนอื่น จนไม่มีใครอยากยุ่งด้วย เว้นแต่ตอนที่อยู่ต่อหน้าอาจารย์ และสื่อ เรียกได้ว่า หน้าไหว้หลังหลอกสุดๆ เพราะฉะนั้น ตำรวจจึงไม่สามารถสืบค้นได้เลยว่า จริงๆ แล้วโยฮันนามีนิสัยอย่างไร มีความเชื่ออย่างไร มีแนวคิดอะไร เพราะว่าไม่มีใครเคยได้รู้จักเธอเลยจริงๆ แม้แต่คนเดียว

ด้วยความที่ว่าคดีนี้เป็นที่จับตามองมากในประเทศสวีเดน ตำรวจจึงใช้โอกาสนี้ในการทำงานร่วมกับนักข่าวเพื่อให้นักข่าวไปช่วยล้วงความจริงจากโยฮันนา แต่ว่าแม้กระทั่งนักข่าวเองก็ไม่สามารถทำให้โยฮันนาปริปากออกมาได้เลย เธอปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และบอกว่าเธอไม่ควรเป็นผู้ต้องสงสัย

แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่ง ก็ได้มีเพื่อนร่วมงานของโยฮันนาติดต่อมาหาเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อแจ้งว่าอยากให้ตำรวจมาตรวจเช็กรถยนต์ส่วนตัวของโยฮันนา โดยเฉพาะคันที่เธอขับมาทำงานหลังจากวันเกิดเหตุ เพราะเพื่อนร่วมงานคนนี้ได้สังเกตเห็นคราบสีออกน้ำตาล บนกระโปรงรถด้านหน้า ซึ่งเธอสงสัยว่า นี่อาจจะเป็นคราบเลือด

เห็นอย่างนี้ ตำรวจก็ได้นำเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานไปทำการตรวจค้นรถคันดังกล่าวทันที ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็พบกับคราบเลือดหลายจุดภายในรถคันนั้น ซึ่งหลังจากได้เอาคราบเลือดไปตรวจแล้วก็พบมันคือเลือดของ ยูอัน โมลเลอร์ พ่อของโยฮันนาที่เสียชีวิตไป และที่ยิ่งกว่าไปกว่านั้นคือ นอกจากคราบเลือดแล้ว ก็มีการตรวจพบ DNA ของ โมฮัมหมัด ราจาบี แฟนหนุ่มวัย 18 ปีของโยฮันนาอีกด้วย ซึ่งทางตำรวจมั่นใจแล้วว่าพวกเขามีหลักฐานมากพอที่จะสามารถเรียกโยฮันนา และแฟนหนุ่มของเธอมาสอบปากคำได้เสียที

แต่การสอบปากคำนั้นก็ยังไม่ได้ทำให้ตำรวจสามารถรวบรวมข้อมูลสำคัญเพิ่มเติมได้ ในคำให้การของทั้งคู่นั้นมีหลักฐานยืนยันที่อยู่ชัดเจนว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ใกล้กับที่ก่อเหตุเลย บวกกับตำรวจเองก็ยังไม่มีหลักฐานที่แน่นหนามากพอจะจับกุมพวกเขาไว้ได้ โยฮันนา และโมฮัมหมัดก็ถูกปล่อยตัวออกมา แต่ทางตำรวจก็ยังไม่ยอมแพ้ โดยพวกเขาทำการติดเครื่องดักฟังภายในรถของโยฮันนาและฝากให้นักข่าวสะกดรอยตามทั้งคู่เอาไว้

หลังจากทั้งคู่เงียบไปหลายวัน ตำรวจก็ได้หลักฐานชิ้นสำคัญ เมื่อพวกเขาดักฟังการพูดคุยระหว่าง โยฮันนา และโมฮัมหมัด ที่บอกว่า มันตลกดีที่ตำรวจคิดว่าพวกเขาเป็นฆาตกรแต่ไม่มีปัญญาหาหลักฐานได้ แถมโยฮันนายังบอกโมฮัมหมัดว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เรื่องเงียบพวกเขาจะแต่งงานกัน และเธอจะเป็นผู้รับมรดกของพ่อกับแม่ ในตอนนั้น โมฮัมหมัดจะได้ทุกอย่างที่เขาต้องการ แต่โมฮัมหมัดต้องไม่ปริปากบอกใครเกี่ยวกับคดี ไม่ว่าจะถูกคาดคั้นเท่าไหร่ก็ตาม ซึ่งคำพูดเหล่านี้ก็กลายเป็นหลักฐานสำคัญทันที

แต่กระนั้นเอง ตำรวจก็ยังไม่สามารถออกหมายจับกุมโยฮันนาได้ ซึ่งเธอก็ได้ใช้ช่วงเวลานี้หนีมาพักร้อนที่ประเทศไทย แต่โมฮัมหมัดนั้นเป็นผู้อพยพ จึงทำให้ไม่สามารถเดินทางไปประเทศไทยได้ ซึ่งทำให้ตำรวจใช้จังหวะนี้มุ่งความสนใจไปที่โมฮัมหมัด โดยได้ติดตามความเคลื่อนไหวของเขาทุกย่างก้าว ซึ่งก็พบว่าโมฮัมหมัดติดต่อกับโยฮันนาตลอดเวลาผ่านทาง WhatsApp สภาพจิตใจของเขาตกอยู่ในความเครียดเป็นอย่างหนัก จนสุดท้ายเขาไปสารภาพกับเพื่อนที่ศูนย์อพยพว่าเขาได้แทงคนไปสองคน

และคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดก็คือ แฟนของเขา โยฮันนา โมลเลอร์ แต่เขาคิดว่าเธอได้หนีเขาไปอยู่ที่ประเทศไทยแล้ว

โมฮัมหมัด ชายผู้เป็น “เครื่องมือ” และ “ลูกไก่ในกำมือ” ของโยฮันนา

เมื่อทางตำรวจได้หลักฐานเด็ดเข้าให้แล้ว ซึ่งนอกจากคำบอกเล่านี้ พวกเขายังมีเสียงที่บันทึกจากการสนทนาทางโทรศัพท์ และข้อความผ่าน WhatsApp อีกด้วย เมื่อนำหลักฐานนี้ ไปรวมกับหลักฐานก่อนหน้าเช่น ผลตรวจ DNA จากรถยนต์ของโยฮันนา มันก็เพียงพอที่จะออกหมายจับทั้งคู่ในคดีฆาตกรรมได้

แต่เหมือนว่า โยฮันนาจะไหวตัวทัน เธอกลับมาจากประเทศไทย แล้วตรงมาหาโมฮัมหมัดทันที ด้วยจุดประสงค์ที่ว่า จะจัดการฆ่าปิดปากโมฮัมหมัดเสีย โดยเธอพยายามหลอกให้โมฮัมหมัดเสพเฮโรอีนเกินขนาดจนเหมือนการฆ่าตัวตายไปเอง โยฮันนาพยายามใช้ถ้อยคำเสียดแทงต่างๆ เธอบอกว่าชีวิตเขามันห่วยแตกแค่ไหน อยู่ไปก็คงไม่ดีขึ้น สิ่งที่เขาทำมันไม่น่าให้อภัยได้ เสพยาเข้าไปเยอะๆ ดีกว่า เขาจะได้ไปสบาย แล้วเธอจะฆ่าตัวตายตามไปด้วย

แต่ตำรวจที่กำลังดักฟังเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ก็ได้รีบปรี่เข้าไปจับกุมทั้งคู่ทันที และสามารถช่วยชีวิตโมฮัมหมัดไว้ได้ทัน และในที่สุด ตำรวจก็จะได้ทำการสอบสวนทั้งคู่แบบมีหลักฐานแน่นหนาเสียที

เริ่มจากโมฮัมหมัด เบื้องต้นโมฮัมหมัดได้ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นคนฆาตกรรมพ่อและแม่ของโยฮันนา แต่เมื่อตำรวจนำหลักฐาน DNA ของเขาที่เจอในรถของโยฮันนา และบันทึกการสนทนาต่างๆ มา เขาก็ยอมสารภาพแต่โดยดี โมฮัมหมัดบอกว่าในคืนเกิดเหตุ เขาขับรถไปที่บ้านของ อัน และยูอัน โมลเลอร์กับชายชื่อว่า อาลี โดยอาลีใช้ปืนขู่ ให้โมฮัมหมัดเดินใช้มีดแทงทั้งคู่ให้ตายให้เร็วที่สุด มิฉะนั้น เขาจะยิงโมฮัมหมัดทิ้งซะ ด้วยความกลัวตาย โมฮัมหมัดตัดสินใจเดินเข้าไปจ้วงแทงคนทั้งสองอย่างรวดเร็ว จนตัวเขาหมดแรงแล้วรีบหนีออกจากบ้านไปพร้อมกับอาลี

หลังจากนั้น ตำรวจได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ ของโมฮัมหมัดมากขึ้น เขาอีกว่า เดิมทีเขามาจากเมืองเตหะราน ประเทศปากีสถาน เขามาจากครอบครัวที่มีฐานะยากจน ครอบครัวของเขาถูกกดขี่จากชาติพันธุ์อื่นในประเทศ เขาไม่ได้เรียนหนังสือเพราะความยากจน แต่เขาก็อยากให้ครอบครัวมีชีวิตที่ดี เขาจึงตัดสินใจหาทางลี้ภัยมายังประเทศสวีเดน เพื่อเปิดร้านอาหารเล็กๆ เป็นธุรกิจครอบครัว ซึ่งเป็นความฝันของแม่ที่มักจะพูดให้เขาฟังบ่อยๆ และหลังจากผ่านไปซักพัก คำร้องขอลี้ภัยของเขาก็ผ่าน ซึ่งโมฮัมหมัดได้ให้คำสัญญากับครอบครัวเอาไว้ว่า วันหนึ่งจะพาพ่อแม่มาเปิดร้านอาหารที่สวีเดนด้วยกัน

Advertisements

ฉากหลังของนักสังคมสงเคราะห์สาว

และแล้ว โมฮัมหมัด ราจาบี ในวัยเพียง 16 ปีก็เดินทางมาอยู่ที่ศูนย์อพยพ เอสคิลสตูนา (Eskilstuna) นั่นทำให้เขาได้พบกับโยฮันนา โมลเลอร์เป็นครั้งแรก เพราะเธอทำงานเป็นนักสังคมสงเคราะห์ในศูนย์อพยพนั้น ซึ่งในศูนย์อพยพนั้น โมฮัมหมัด และโยฮันนาก็ได้พัฒนาความสัมพันธ์ของพวกเขาเรื่อยมา จนกระทั่งโมฮัมหมัดตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่บ้านของโยฮันนาเมื่ออายุได้ 17 ปี โดยความสัมพันธ์ของทั้งคู่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว มันเริ่มต้นด้วยความสัมพันธ์ทางร่างกาย ซึ่งโมฮัมหมัดก็ไม่ประสีประสาในเรื่องการใช้ชีวิตต่างแดน แถมอายุยังน้อย โยฮันนาจึงเป็นเหมือนที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของเขา

โมฮัมหมัดเล่าต่ออีกว่า หน้าที่หลักของโยฮันนาในค่ายอพยพนั้นโยฮันนามีหน้าที่ในการหาครอบครัวอุปถัมภ์ให้เด็กๆ พร้อมทั้งตรวจสอบคุณสมบัติต่างๆ ของครอบครัวอุปถัมภ์ที่จะรับเด็กๆ ไปดูแลต่อ แต่หลายครั้งเธอมักจะไปใกล้ชิดกับบรรดาเด็กหนุ่มในศูนย์อพยพแห่งนี้มากเกินความจำเป็นอยู่เสมอ เธอแอบมีความสัมพันธ์ทางเพศกับเด็กชายที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะในศูนย์อพยพหลายต่อหลายคน แต่เธอก็รอดจากคดีพรากผู้เยาว์ได้อยู่เสมอ เพราะความร่ำรวยของครอบครัว เธอถึงกับบังคับให้โมฮัมหมัดไปฆ่าเด็กชายสองคนที่ขู่จะฟ้องเธอ แต่สุดท้ายโมฮัมหมัดก็ไม่ได้ฆ่า แต่เป็นการขู่ให้สองคนนั้นกลัวจนถอนฟ้องไปนั่นเอง

โมฮัมหมัด นับตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาก็เหมือนลูกไก่ในกำมือของโยฮันนา จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด เขาต้องเลือกว่าจะอยู่ในบ้าน และทำตามคำสั่งขอโยฮันนาเรื่อยมา หรือว่าจะต้องออกมาใช้ชีวิตอยู่ข้างถนน

โยฮันนาบงการชีวิตของโมฮัมหมัดแทบทุกอย่าง เธอมักจะมีวิธีการพูดให้เขาเชื่อ และยอมทำตามอยู่เสมอโยฮันนาบอกกับโมฮัมหมัดว่า หลังจากพ่อแม่ของเธอตาย เธอจะได้รับมรดกเป็นเงินก้อนโต (ราว ๆ สิบล้านโครน หรือ ประมาณ 33,498,000 บาท) เธอจะแบ่งเงินบางส่วนนี้ให้เขา เพื่อที่ว่าเขาจะได้เปิดร้านอาหารที่ประเทศสวีเดน และรับพ่อแม่ของเขาจากปากีสถานมาอยู่ด้วย จึงทำให้เขายอมทำตามที่โยฮันนาสั่ง

แต่ยังไม่หมดแค่นี้ โมฮัมหมัดได้บอกกับตำรวจอีกว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่โยฮันนาอยากจะฆ่าคนเพื่อเอาเงินประกัน เพราะว่าเมื่อประมาณ 1 ปีก่อนหน้า เธอลงมือฆาตกรรม อากี้ พาซิล่า (Argi Paasila) สามีเก่าของเธอเอง และยิ่งไปกว่านั้นคือตำรวจเชื่อว่า โยฮันนาอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน เพียงแต่พวกเขาไม่มีหลักฐานหนักแน่นมากพอที่จะตั้งข้อหาและเอาผิดเธอได้ จนสุดท้ายคดีถูกสรุปคดีการตายเป็นอุบัติเหตุจากการจมน้ำเสียชีวิตไป จึงทำให้เธอได้เงินประกันจากการตายของอากี้ถึงสองล้านโครน (6,666,000 บาท)

Advertisements

 คำตัดสินสุดท้ายของโยฮันนา

พอคดีถูกรื้อขึ้นมาสอบสวนใหม่ เนื่องจากมีพยานยืนยันอย่าง โมฮัมหมัด ว่าการตายของอากี้น่าจะเป็นการฆาตกรรม มากกว่าอุบัติเหตุ จึงเป็นการจุดประกายความหวังให้คนในครอบครัวของอากี้ว่าพวกเขาจะได้รับความยุติธรรมซักที

ตัดมาที่การไต่สวนคดีของโยฮันนา ทุกครั้งที่ถูกถามว่าคืนวันเกิดเหตุเธอทำอะไร อยู่ที่ไหนกับใคร ทุกครั้งที่ตอบคำถาม เธอจะเปลี่ยนคำตอบไปเรื่อยๆ ไปซื้อของบ้าง ไปหาเพื่อนบ้าง ซึ่งคำตอบของเธอมีทั้งสิ้น 9 คำตอบ สำหรับคำถามเดียว หนำซ้ำในทุกครั้งเธอยังกล่าวหาว่าโมฮัมหมัดเป็นคนทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว แต่ว่าไม่มีใครเชื่อคำพูดเธออีกแล้ว

แต่โยฮันนายังไม่ลดละความพยายาม ระหว่างการถูกควบคุมตัวรอคำพิพากษาจากศาล โยฮันนาพยายามส่งจดหมายจากห้องขังถึงโมฮัมหมัดเพื่อเกลี้ยกล่อมให้เขาเห็นใจ และยอมรับผิดแต่เพียงผู้เดียว แต่โมฮัมหมัดไม่สนใจเธออีกต่อไปแล้ว เขาไม่ยอมอ่านจดหมายของเธอแม้แต่ฉบับเดียว

ในที่สุด ก็ถึงเวลาที่สิ้นสุดการพิจารณาคดี ด้วยพยาน หลักฐานต่างๆ ที่ฝ่ายอัยการรวบรวมมาได้ โยฮานาถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตในคดีฆาตกรรมพ่อของเธอ และข้อหาพยายามฆ่าแม่ โดยไม่สามารถขอลดโทษได้เลย

ส่วนโมฮัมหมัดถูกตัดสินจำคุก 14 ปี เนื่องจากขณะก่อเหตุยังเป็นผู้เยาว์ และมีการพิสูจน์ได้ว่าถูกข่มขู่และควบคุมจากโยฮันนา โดยหลังรับโทษครบจะถูกเพิกถอนสิทธิผู้อพยพและส่งตัวกลับเมืองเตหะรานโดยห้ามเดินทางเข้าสวีเดนอีกตลอดชีวิต ซึ่งแน่นอน เขาจะไม่มีวันทำตามความฝันของแม่ได้อีกตลอดชีวิต

สามารถรับฟัง File Not Found EP. 120 (Part 1) | ลูกสาวสุดเลือดเย็น กับหุ่นเชิดผู้ถูกขายฝัน ที่ไม่มีวันเป็นจริง แบบเต็มๆ ได้ที่: https://bit.ly/3OjGxaG
สามารถรับฟัง File Not Found EP. 120 (Part 2) | ลูกสาวสุดเลือดเย็น กับหุ่นเชิดผู้ถูกขายฝัน ที่ไม่มีวันเป็นจริง แบบเต็มๆ ได้ที่: https://youtu.be/niIUJlTTaZ0

#missiontopluto
#missiontoplutopodcast
#filenotfoundpodcast

Advertisements

LASTEST ARTICLES

LASTEST PODCAST

Mission To The Moon
Mission To The Moon
พื้นที่ที่สร้างขึ้นเพื่อแบ่งบันเรื่องราวเกี่ยวกับการทำธุรกิจ การตลาด แรงบันดาลใจ และข้อคิดในการใช้ชีวิต

POPULAR ARTICLES

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่มีความจำเป็น (Strictly Necessary Cookies)
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้งานและเข้าชมเว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้ อย่างไรก็ตาม คุณสามารถบล็อคการใช้งานคุกกี้ได้จากเบราว์เซอร์ที่ใช้งาน ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบกับการใช้งานเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้สำหรับการวิเคราะห์และวัดผลการทำงาน (Performance Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

บันทึกการตั้งค่า