เรื่องราวของการหนีตามกันไปของคู่รักหนุ่มสาว เป็นเรื่องราวสุดคลาสสิกที่ไม่ว่าจะหยิบมาเล่ากี่ยุคกี่สมัย ก็ยังคงมนต์ขลังอยู่เสมอ คู่รักคู่หนึ่งที่ตัดสินใจออกไปเผชิญโลกกัน 2 คน โดยไม่สนว่าคนรอบข้างจะคิดอย่างไร เหมือนหลุดออกมาจากนิยายรักที่สวยงาม ที่มีตอนจบแบบ Happy Ending แต่ในโลกแห่งความจริงนั้น มันไม่ใช่สิ่งที่สวยงาม และโรแมนติก
เพราะเรื่องราวการหนีตามกันต่อจากนี้ไปของคู่รักชาวเวเนซุเอลา คือ “ความจริง” ที่บางทีก็ช่างโหดร้าย และไร้หัวใจมากเหลือเกิน
รักแรกที่หอมหวานของ “โมเรลล่าและมาเทียส”
โมเรลล่า (นามสมมติ) เด็กสาวชาวเวเนซุเอลา อายุ 17 ปี เธอคือวัยรุ่นที่กำลังแตกเนื้อสาว หน้าตาสวยงามตามแบบฉบับนางงามเวเนซุเอลา โดย ณ ตอนนั้นโมเรลล่ากำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนในบ้านเกิด และวันหนึ่ง เธอก็ได้ไปพบรักกับชายคนหนึ่งชื่อว่า “มาเทียส ซาลาซาร์” (Matias Salazar) ซึ่งแก่กว่าเธอถึง 8 ปี แต่อายุไม่ใช่ปัญหา เพราะหลังจากที่ทั้งคู่ได้เจอกันไม่นาน ทั้ง 2 คนก็ตกหลุมรักกัน
แต่ช่วงเวลาโปรโมชั่นอันหอมหวานนั้นก็หมดไปอย่างรวดเร็ว เพราะหลังจากคบกันมาซักพัก มาเทียสก็เริ่มลงมือทำร้ายร่างกายโมเรลล่า บนใบหน้าของโมเรลล่ามักจะมีรอยแผลต่างๆ ให้เห็นอยู่เสมอ ทำให้ครอบครัวของเธอไม่พอใจเป็นอย่างมาก และสั่งให้โมเรลล่า เลิกกับมาเทียส
แทนที่จะเชื่อฟังพ่อแม่ โมเรลล่ากลับโดนความรักบังตา เพราะแม้ว่าเธอจะถูกทำร้ายทั้งร่างกาย และจิตใจ แต่เธอก็รักมาเทียสมากเกินไป มากเกินกว่าที่จะใช้ชีวิตอย่างไม่มีเขาได้ จึงทำให้เธอตัดสินใจหนีตามกันไปกับมาเทียส ในวันที่ 23 ธันวาคม 1988
ทว่าการหนีตามกันไปของมาเทียส และโมเรลล่านั้นไม่ได้มีความโรแมนติกเหมือนในเทพนิยายแม้แต่น้อย..
เพราะโมเรลล่าและมาเทียสมีปากเสียงกันแทบจะตลอดเวลา พวกเขาย้ายไปอยู่ที่โรงแรมเล็กๆ ราคาถูก แบบคืนต่อคืนประมาณ 3 ที่ ซึ่งโมเรลล่าถูกมาเทียสทำร้ายร่างกายแทบจะทุกวัน และหลังจากหลบหนีเปลี่ยนที่อยู่กันมาได้ซักพัก สุดท้ายพวกเขาก็ไปเจออะพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในเมืองมาราไกย์ (Maracay) ที่ซึ่ง “ฝันร้าย” ของโมเรลล่าได้เริ่มขึ้น
จากคนรัก สู่ทาสที่ไร้อิสระ
ณ ห้องอะพาร์ตเมนต์เล็กๆ ในเมืองมาราไกย์นั้น มาเทียสได้เริ่มออกกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่จะทำให้เขาควบคุมชีวิตของโมเรลล่าได้อย่างสมบูรณ์ เริ่มที่โมเรลล่านั้นไม่มีสิทธิ์ออกจากห้องพักนั้นได้แม้แต่ก้าวเดียว ถ้าโมเรลล่าหิว หรือต้องการของใช้อะไร มาเทียสจะเป็นคนออกไปซื้อมาให้เท่านั้น โดยก่อนออกจากห้อง มาเทียสจะล็อกกุญแจห้องอย่างแน่นหนาทุกครั้ง โดยไม่สนใจเลยว่า โมเรลล่า จะต้องทนอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่ทั้งเหม็น อับชื้น และมืดสลัว นานขนาดไหน
โดยโมเรลล่าจำเป็นต้องใช้ชีวิตแบบนั้นไปเรื่อยๆ ตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีแค่มาเทียสเท่านั้นที่สามารถเข้าออกห้องได้ หนำซ้ำ มาเทียสก็ได้ถอดไฟทุกดวงในห้องออก นั่นยิ่งทำให้โมเรลล่าไม่รู้วันรู้คืน ไม่รู้เดือนรู้ตะวัน ได้แต่อุดอู้อยู่ในห้องสี่เหลี่ยม ที่มีแค่เตียง ทีวี และวิทยุ ที่พอจะทำให้เธอได้ติดตามข่าวสารจากโลกภายนอกบ้าง
ผ่านไปซักพัก จากที่มาเทียสมาหาโมเรลล่าทุกวันก็เริ่มห่างเหิน เขาจะหายตัวไประยะหนึ่ง แล้วค่อยกลับมาหาโมเรลล่านานๆ ครั้ง ซึ่งเหตุผลของการกลับมาแต่ละครั้งของเขาก็เพื่อจุดมุ่งหมายเดียว เพื่อมีเพศสัมพันธ์กับโมเรลล่าเท่านั้น โดยหลังจากเสร็จกิจ เขาก็ทิ้งอาหาร และของใช้ที่ซื้อมาทิ้งไว้ให้โมเรลล่า ก่อนจะออกจากห้องไปอย่างไม่ไยดี
โมเรลล่าได้เปลี่ยนสถานะจากคนรัก กลายเป็นทาสอย่างสมบูรณ์ เธอไม่ได้มีความรู้สึกดีๆ หลงเหลืออยู่แล้ว ถ้าให้ถูกต้องก็คือ ทุกครั้งที่มาเทียสกลับมา โมเรลล่าถูกมาเทียสขืนใจ ถูกล่วงละเมิดทางเพศ มากกว่าเป็นการมีเพศสัมพันธ์กับคนรัก
ยิ่งนานวันเข้า ร่างกายของโมเรลล่าก็ยิ่งซูบผอม อิดโรยเพราะขาดสารอาหาร ช่วงระยะเวลาที่มาเทียสหายตัวไปก็นานมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แต่ละครั้งที่โมเรลล่าได้รับอาหารมานั้น เธอต้องแบ่งสัดส่วนเอาไว้ให้ดี เพราะเธอไม่รู้ว่าอาหารในมื้อหน้าจะมาอีกเมื่อไหร่ โดยทุกครั้งที่เธอได้ยินเสียงปลดล็อกกุญแจหน้าห้องเมื่อไหร่ ใจหนึ่งก็โล่งใจที่รอดชีวิต เพราะมันแปลว่ากำลังจะมีอาหารมาเพิ่ม แต่อีกใจหนึ่ง เธอก็ต้องเตรียมรับกับความทุกข์ทรมาน ที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น
นอกจากจะโดนขืนใจแล้ว ถ้ามาเทียสอยู่ในห้อง โมเรลล่าก็ไม่ได้มีโอกาสทำอะไรอย่างอิสระเลย แม้แต่กิริยาทั่วไปอย่างการจะยืน จะนั่ง จะพูด เธอต้องทำการขออนุญาตจากมาเทียสก่อน ถ้าฝ่าฝืน จะถูกพุ่งเข้าไปตบตีทำร้ายร่างกายทันที
ในขณะที่ชีวิตโมเรลล่าค่อยๆ ถูกกร่อนไปทีละน้อยในกล่องสี่เหลี่ยมนั้น มาเทียสกลับใช้ชีวิตเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาแต่งงานกับผู้หญิงคนใหม่ และมีลูกสาวด้วยกันอีก 1 คน แถมที่พีคและอำมหิตยิ่งไปกว่านั้นก็คือ บ้านที่มาเทียสอาศัยอยู่กับภรรยา และลูกสาวของเขานั้น มันตั้งอยู่เพียงแค่ฝั่งตรงข้ามถนนกับอะพาร์ตเมนต์ที่เขาขังโมเรลล่าเอาไว้ เป็นโลก 2 ใบ ที่แตกต่างกันอย่างโหดร้ายเหลือเกิน ภายใต้เบื้องหน้าของการเป็นสามีและพ่อที่ดี ไม่มีใครรู้เลยว่ามาเทียสซ่อนความเลือดเย็นไว้มากขนาดไหน
ตลอดเวลาที่ผ่านมา โมเรลล่าพยายามหาทางหนีออกมาอยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งมันก็จบลงที่เธอถูกมาเทียสจับได้จนถูกทำร้ายปางตาย ทำให้เธอยอมรับชะตากรรม และทำให้เธอไม่กล้าหลบหนีไปไหนอีก จนเวลาผ่านล่วงเลยมาถึง 31 ปี!!
บทสรุป จุดสิ้นสุดของการกักขังอันยาวนาน
จนเมื่อ วันที่ 24 มกราคม ปี 2020 โมเรลล่าในตอนนี้อายุได้ 49 ปี เธอได้หมดหวังกับชีวิตเรียบร้อยแล้ว แต่ว่าโชคชะตาก็ยังเข้าข้างเธอบ้าง เพราะวันนั้น มาเทียสลืมกุญแจไว้ที่ในห้อง! ซึ่งพอเห็นโอกาส โมเรลล่าก็ไม่รอช้ารีบคว้ากุญแจหนีออกจากห้องพักในทันที ซึ่งเธอก็ไม่รู้จะไปที่ไหน โลกภายนอกมันเปลี่ยนไปหมด เธอได้แต่เดินไปตามท้องถนนอย่างไร้จุดหมาย เธอพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงที่มี เดินไปเรื่อยๆ เธอรู้แค่ว่าเดินให้ไกลจากอะพาร์ตเมนต์นั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
อยู่ดีๆ โมเรลล่าก็จำได้ว่า เคยมีครั้งหนึ่งที่เธอได้ยินทางรายการวิทยุที่พูดถึงศูนย์ช่วยเหลือสตรีที่ตั้งอยู่บนถนนไม่ไกลจากอะพาร์ตเมนต์ที่เธอถูกขังอยู่ ซึ่งหลังจากพยายามเดินไปซักพัก เธอก็เห็นป้ายของศูนย์ช่วยเหลือสตรีแห่งนี้จริงๆ โมเรลล่ารีบเดินเข้าไปขอความช่วยเหลือที่ศูนย์นั้น ซึ่งทางศูนย์ก็ได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจภายในทันที
หลังจากรับเรื่อง ตำรวจก็เข้าไปสำรวจห้องอะพาร์ตเมนต์ที่โมเรลล่าถูกขังไว้ทันที พวกเขาพบว่า ในห้องห้องนั้น มีเพียงเตียงเล็กๆ พัดลมเก่าๆ ทีวี วิทยุ และเสื้อผ้าผู้หญิงเก่าๆ เพียงไม่กี่ชุดเท่านั้น ซึ่งเป็นหลักฐานเพียงพอที่ทำให้พวกเขารู้ว่าโมรเลล่าพูดความจริง จากนั้นพวกเขาก็ใช้เวลาไม่นานในการเข้าจับกุมมาเทียส ซาลาซาร์ ในวัย 56 ปีได้
มาเทียสไม่รอดแน่ เขาไม่มีทางพ้นผิด เพียงแต่ว่าหลังจากสืบสวนไปซักพัก ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นเชื่อว่ามาเทียสน่าจะซ่อนเหยื่อของเขาไว้อีกหลายคน จึงทำให้คดีนี้ ยังคงอยู่ในชั้นศาลและกำลังอยู่ในช่วงสืบสวน สอบสวนอยู่ และเมื่อข้อหายังไม่ครบ ศาลก็ยังไม่สามารถตัดสินคดีนี้ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ณ ตอนนี้ มาเทียสก็ต้องไปนอนรอในคุกเพื่อพิจารณาคดีเรียบร้อยแล้ว ส่วนโมเรลล่าก็หลุดพ้นจากขุมนรกที่เธอถูกกักขังมากว่า 31 ปีได้เสียที
สามารถรับฟัง File Not Found EP. 124 | จำเลย (ไม่) รัก? แบบเต็มๆ ได้ที่: https://youtu.be/Lx_8lyJnmeY
#missiontopluto
#missiontoplutopodcast
#filenotfoundpodcast