ENTERTAINMENTโจแอนน่า เยทส์ กับคดีฆ่ารัดคอปริศนา ในคืนวันคริสต์มาส

โจแอนน่า เยทส์ กับคดีฆ่ารัดคอปริศนา ในคืนวันคริสต์มาส

ช่วงเวลาคริสต์มาสนั้น มันคือหนึ่งในไม่กี่เทศกาลที่นำพาความสุขมาในผู้คนเกือบทั้งโลก ทั้งมื้ออาหารแสนอร่อย ของขวัญชิ้นโต และครอบครัวที่กลับมารวมตัวเจอหน้ากันแบบพร้อมหน้าพร้อมตา มันทำให้ช่วงเวลาคริสต์มาสนั้นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม

แต่สำหรับ โจแอนน่า เยทส์ นั้น คืนวันคริสต์มาสของเธอในปี 2010 นั้น นอกจากจะเต็มไปด้วยความเหงาและความโดดเดี่ยวนั้น มันยังกลายเป็นคืนคริสต์มาสครั้งสุดท้ายของเธออีกด้วย

โจแอนน่า เยทส์ เด็กสาวผู้เกิดมาอย่างเพรียกพร้อม

โจแอนน่า เยทส์ เกิดในวันที่ 19 เมษายน ปี 1985 โดยเธอเกิดและเติบโตในเมือง Hampshire ประเทศอังกฤษ โดยคุณแม่ของเธอมีชื่อว่า เทเรซ่า เยทส์ ส่วนคุณพ่อมีชื่อว่า เดวิด เยทส์ โดยครอบครัวของโจแอนน่านั้นดูแลเอาใจใส่เธอดีมากๆ พ่อแม่ของเธอพยายามเลี้ยงดูและให้ทุกสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่พวกเขาสามารถให้เธอได้

โจแอนน่า ถูกส่งเข้าไปเรียนในโรงเรียนเอกชนที่มีชื่อเสียง ต่อด้วยการเข้าไปศึกษาทางด้าน ภูมิสถาปัตยกรรม (Landscape Architecture) ในระดับมหาวิทยาลัย ก่อนที่จะเรียนจบมาทำงานตามสาย และ ณ ที่ทำงานของเธอนี่เองทำให้ โจแอนน่า ได้พบกับเพื่อนร่วมงานชายคนหนึ่งที่ชื่อว่า เกร็ก เรียดอน

หลังจากที่ทั้งคู่ได้รู้จักกัน ทั้งสองคนก็พบว่า ทั้งคู่มีอะไรหลายอย่างที่คล้ายกัน พวกเขาชอบอะไรเหมือนๆ กัน มีรสนิยมคล้ายๆ กัน คุยเรื่องอะไรก็ดูจะถูกคอกันไปเสียหมด จนไม่นาน ทั้งคู่ก็ตกหลุมรักกัน โดยทั้งคู่ตกลงที่จะย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันในแฟลตแห่งหนึ่งที่เมือง Bristol

เวลาผ่านไปจนกระทั่งวันที่ 17 ธันวาคม 2010 ซึ่งเป็นช่วงสิ้นปีพอดี และจะมีพวกวันหยุดมากมาย เกร็กเลยวางแผนที่จะเดินทางกลับบ้านเกิดไปยังเมืองเชฟฟิลด์ เพื่อเยี่ยมครอบครัวของเขา หลังจากที่ไม่ได้กลับไปหาคุณพ่อคุณแม่มาเป็นเวลานานมากๆ แต่การกลับไปหาครอบครัวครั้งนี้ เขาไม่ได้พาโจแอนน่าไปด้วย

จากความเหงา สู่ความตาย

เหตุการณ์นี้เรียกว่าเป็นครั้งแรกเลยก็ได้ ที่เธอจะต้องอยู่ที่ห้องโดยที่ไม่มีเขา และเพื่อไม่ให้การอยู่ห้องของเธอน่าเบื่อจนเกินไป เธอได้บอกเพื่อนๆ ว่า เธอมีแผนจะใช้เวลาในการทำขนมเพื่อเตรียมสำหรับงานปาร์ตี้ต้อนรับการกลับมาของเกร็ก แถมเธอยังอยากที่จะหาซื้อของขวัญสำหรับวันคริสต์มาสให้กับแฟนหนุ่มของเธออีกด้วย โดยโจแอนน่าใช้เวลาอยู่ที่ผับกับเพื่อนๆ ราวๆ 2-3 ชั่วโมง ก่อนที่เธอออกจากผับและกลับบ้านไปในเวลาประมาณ 2 ทุ่ม

โดยมีการพบภาพของ โจแอนน่า ในกล้องวงจรปิด (CCTV) เวลาประมาณ 20:10 น. โดยตอนนั้นเธอกำลังเดินออกจากซูเปอร์มาร์เก็ตที่ชื่อ Waitrose ในกล้องวงจรปิดอีกครั้ง โดยครั้งนี้พบว่า เธอได้ซื้อพิซซ่าจาก Tesco Express ในช่วงเวลาประมาณ 20:40 น.ก่อนที่เธอจะเดินไปยังร้านสะดวกซื้อที่ชื่อ Bargain Booze เพื่อซื้อไซเดอร์ขวดเล็กๆ สองขวดและนั่นก็เป็นภาพสุดท้ายของโจแอนน่า ขณะที่เธอยังมีชีวิตอยู่ เพราะหลังจากนั้น ก็ไม่มีใครสามารถติดต่อเธอได้อีกเลย แม้กระทั่งแฟนหนุ่มของเธอเอง

เวลาผ่านไปจนกระทั่งเกร็กเดินทางกลับมาที่บริสตอลหลังการไปเยี่ยมครอบครัว เมื่อกลับถึงที่แฟลต เขาสังเกตเห็นว่าประตูห้องของเขาไม่ได้ล็อกอยู่ เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นและพยายามโทรหาโจแอนน่าอีกครั้ง ทันใดนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ของโจแอนน่าดังขึ้นและพบว่าโทรศัพท์ของโจแอนน่าอยู่ในกระเป๋าเสื้อโคตของเธอที่ห้องนั่งเล่น รวมทั้งกุญแจบ้าน กระเป๋าเงินของเธอ ก็ถูกทิ้งไว้ในเสื้อโคตด้วย จึงทำให้เกร็กรีบโทรแจ้งตำรวจทันที

ไม่นานนัก ตำรวจก็เดินทางมาถึงแฟลตของเกร็กและโจแอนน่า พวกเขาได้เข้าไปสำรวจพื้นที่ทุกซอกทุกมุมภายในแฟลตและพบว่า ในห้องก็ไม่ได้ดูมีสภาพการถูกบุกรุก ข้าวของของเธอทั้งหมดอยู่ในบ้าน ไม่ได้มีชิ้นไหนถูกขโมยไป ไม่มีร่องรอยของการใช้ความรุนแรงใดๆ ไม่มีวี่แววของการดิ้นรนหรือถูกบังคับให้เข้าบ้าน ดังนั้นตำรวจจึงคาดว่า มันมีความเป็นไปได้สูงที่โจแอนน่าอาจจะถูกลักพาตัวไป

ครอบครัวของโจแอนน่า ได้ติดต่อสื่อต่างๆ เพื่อออกมาพูด ให้ข้อมูลและขอร้องให้ทุกคนที่มีข้อมูลเกี่ยวกับโจแอนน่า ช่วยนำมาแจ้งกับตำรวจหรือพวกเขาก็ได้ โดยได้มีสื่อมากมาย เข้ามาทำข่าวโจแอนน่า ทำให้คดีนี้เป็นที่จับตามองของประชาชนทันที

จนสุดท้าย ในเช้าวันคริสต์มาส ก็ได้มีสามี-ภรรยาคู่หนึ่งไปพบกับร่างของโจแอนน่าโดยบังเอิญระหว่างเดินเล่น โดยเธอถูกฝังอยู่ใต้หิมะห่างจากแฟลตของเธอเองไปประมาณ 3 ไมล์ โดยโจแอนน่าได้รับบาดเจ็บทั้งหมด 43 แห่ง ซึ่งเป็นบาดแผลบริเวณใบหน้า ลำคอ และแขน แต่ไม่พบว่าเธอถูกล่วงละเมิดทางเพศแต่อย่างใด ซึ่งได้มีการชันสูตรภายหลังว่าเธอเสียชีวิตจากการถูกรัดคอ

Advertisements

เริ่มต้นการสืบสวนสุดซับซ้อน

ตำรวจเริ่มการสืบสวนเพื่อหาตัวคนร้ายทันที โดยพวกเขาเริ่มจาก สอบปากคำเพื่อนบ้านของโจแอนน่า ซึ่งในหลายๆ คนที่ตำรวจไปสอบปากคำนั้น เขาให้ความสนใจกับเพื่อนบ้านคนหนึ่งที่ชื่อว่า วินเซนต์ ทาบาค ( Vincent Tabak) ที่อาศัยอยู่กับ แฟนสาวของเขาที่ชื่อ ธันจา มอร์สัน (Tanja Morson) ซึ่งตำรวจสังเกตว่า ในระหว่างสอบปากคำ วินเซนต์ไม่ค่อยจะยอมพูดอะไรสักเท่าไหร่ พฤติกรรมของเขาดูทำตัวเงียบๆ จนน่าสงสัย
.
อย่างไรก็ตาม วินเซนต์ได้บอกกับตำรวจว่า เขาไม่รู้จักและไม่เคยพบโจแอนน่ามาก่อนเลยและคืนนั้นในช่วงเวลาที่โจแอนน่าหายตัวไป เขาสามารถหาพยานยืนยันได้ว่าเขา ไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตแถวๆ นั้น
.
นอกจากเพื่อนบ้านแล้ว ตำรวจยังได้ไปขอสอบปากคำ คริสโตเฟอร์ เจฟฟรีส์ (Christopher Jefferies) ซึ่งเป็นเจ้าของแฟลตแห่งนี้ด้วย นั่นก็เพราะตำรวจเชื่อว่าโจแอนน่าถูกฆ่าในอพาร์ตเมนต์ของเธอ ก่อนคนร้ายจะนำร่างของเธอออกไปทิ้งข้างนอกและคริสโตเฟอร์ก็เป็นคนเดียวที่มีกุญแจสำรองของทุกห้องในแฟลตแห่งนี้
.
จากปากคำของผู้เช่าในแฟลต มีหลายคนที่บอกว่า คริสโตเฟอร์เป็นคนที่ค่อนข้างน่ากลัว หลายๆ ครั้ง พฤติกรรมของเขาก็ทำให้ผู้อื่นรู้สึกอึดอัดหรือไม่สบายใจ ซึ่งหลังจากที่ตำรวจไปสอบปากคำคริสโตเฟอร์ เขาได้บอกกับตำรวจว่า ในคืนนั้น เขาอยู่คนเดียวในห้องของเขาเอง ที่อยู่ในแฟลตนี้นี่แหละ และเนื่องจากข่าวนี้ค่อนข้างโด่งดังเป็นอย่างมาก ทำให้สื่อหลายๆ สำนักเริ่มออกมาฟันธงว่า คนร้าย น่าจะเป็น คริสโตเฟอร์ เจฟฟรีส์ เจ้าของแฟลตคนนี้แน่นอน
.
ไม่นานนัก ตำรวจก็ได้เข้าจับกุมคริสโตเฟอร์ โดยตั้งข้อหา ฆาตกรรม โจแอนน่า แต่หลังจากที่ คริสโตเฟอร์ ถูกจับกุมตัว จู่ๆ วินเซนต์ก็รีบติดต่อตำรวจ เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าเขาเพิ่งนึกได้ว่า ในคืนนั้น เขาเห็น รถของคริสโตเฟอร์ขับไปมารอบแฟลตหลายต่อหลายรอบ ซึ่งมันดูผิดสังเกต
.
ได้ทำการยึดรถของคริสโตเฟอร์มาตรวจสอบ โดยเฉพาะการตรวจสอบว่า มี ดีเอ็นเอของโจแอนน่า ตกอยู่ในรถบ้างหรือไม่ แต่ผลปรากฏออกมาว่า ในรถ ไม่มี DNA ของโจแอนน่า หรืออะไรที่ดูน่าสงสัยเกี่ยวข้องกับคดีครั้งนี้เลย หลังจากจับกุมตัวคริสโตเฟอร์ มาได้ซักพัก แต่กลับหาหลักฐานมายืนยันความผิดเขาไม่ได้ ในที่สุด ตำรวจก็ต้องปล่อยตัวคริสโตเฟอร์ไป

Advertisements

จุดจบอันน่าเศร้า ของคดีที่ยังเป็นปริศนา

หลังจากปล่อยตัวคริสโตเฟอร์ไป ตำรวจก็รู้สึกแปลกๆ กับการโทรมาแจ้งเบาะแสของวินเซนต์ แทบจะทันทีที่มีข่าวว่า คริสโตเฟอร์ถูกจับ อะไรมันจะมานึกออกตอนนั้นพอดิบพอดี มันไม่บังเอิญไปหน่อยหรือ

ตำรวจจึงได้เรียกตัววินเซนต์กลับมาสอบปากคำอีกครั้ง แถมตำรวจยังได้เก็บตัวอย่าง DNA ของวินเซนต์ไปด้วย เพื่อนำไปตรวจสอบกับสิ่งของต่างๆ ในห้องของโจแอนน่าไปตรวจสอบ ซึ่งก็พบว่า ในหลักฐานหลายชิ้นจากที่เกิดเหตุ ตรวจพบ DNA ของวินเซนต์อยู่ด้วย

แถมยังพบ DNA ของวินเซนต์บริเวณหน้าอกของ Joanna รวมถึงเสื้อผ้าของเธอด้วย ไม่เพียงแค่นั้นตำรวจยังไปพบคราบเลือดบริเวณท้ายรถของวินเซนต์ และเมื่อนำไปตรวจสอบก็พบว่า คราบเลือดนั้น เป็นของโจแอนน่า สิ่งเหล่านี้กลายเป็นหลักฐานที่ชัดเจนแจ่มแจ้งได้เลยว่า คนร้ายที่แท้จริงก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็น วินเซนต์ ทาบาค คนนี้นี่เอง

โดยตำรวจได้ออกมาสรุปไทม์ไลน์ของคดีฆาตกรรม โจแอนน่า ไว้ว่า ในคืนเกิดเหตุนั้น โจแอนน่า ได้กลับห้องมาคนเดียว แต่ก่อนที่เธอจะได้ล็อกประตู วินเซนต์ก็แอบเข้ามาในห้อง ใช้กำลังกดโจแอนน่าไว้กับกำแพงและบีบคอเธอจนเสียชีวิต ก่อนจะปกปิดร่องรอยของตัวเองด้วยการเอาร่างของโจแอนน่าไปไว้ท้ายรถ และขับรถไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ต เพื่อให้ตัวเองมีภาพอยู่ในกล้องวงจรปิด เป็นหลักฐานยืนยันที่อยู่นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม วินเซนต์ปฏิเสธในทุกข้อกล่าวหา เขาบอกว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ และผล DNA ที่ตำรวจแจ้งมานั้น เป็นการใส่ความเขาทั้งสิ้น แต่แล้ว หลังจากผ่านไปได้ราวๆ 3 สัปดาห์ วินเซนต์ก็ยอมรับสารภาพออกมาว่า เขาเป็นคนลงมือฆ่า โจแอนน่า เอง แต่ทั้งหมดมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยเขาไม่ได้วางแผนอะไรมาก่อน แต่มันเป็นความหลงผิดในชั่วขณะเท่านั้น

ในชั้นศาล เหล่าคณะลูกขุนปฏิเสธที่จะเชื่อคำให้การของวินเซนต์ที่บอกว่า ลงมือฆาตกรรมโจแอนน่าโดยไม่ได้มีการวางแผนมาก่อน พวกเขาไม่เชื่อว่ามันจะเป็นแบบนั้นได้ ซึ่งทางคณะลูกขุนได้ตัดสินว่าวินเซนต์มีความผิดฐานจริง ในฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา โดยเขาต้องได้รับโทษจำคุก ตลอดชีวิต โดยจะมีสิทธิ์ขอ​​อุทธรณ์ได้หลังจากที่ติดคุกไปแล้วอย่างน้อย 20 ปี

อย่างไรก็ตาม แรงจูงใจของวินเซนต์ในการสังหารโจแอนน่าก็ยังคงเป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้

สามารถรับฟัง File Not Found EP. 132 | คืนฝันร้าย ส่งท้ายวันคริสต์มาส
แบบเต็มๆ ได้ที่: https://youtu.be/TMmF3CxwAGU


#missiontopluto
#missiontoplutopodcast
#filenotfoundpodcast

 

Advertisements

LASTEST ARTICLES

LASTEST PODCAST

Mission To The Moon
Mission To The Moon
พื้นที่ที่สร้างขึ้นเพื่อแบ่งบันเรื่องราวเกี่ยวกับการทำธุรกิจ การตลาด แรงบันดาลใจ และข้อคิดในการใช้ชีวิต

POPULAR ARTICLES

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่มีความจำเป็น (Strictly Necessary Cookies)
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้งานและเข้าชมเว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้ อย่างไรก็ตาม คุณสามารถบล็อคการใช้งานคุกกี้ได้จากเบราว์เซอร์ที่ใช้งาน ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบกับการใช้งานเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้สำหรับการวิเคราะห์และวัดผลการทำงาน (Performance Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

บันทึกการตั้งค่า