Charles Carl Panzram ปิศาจในคราบมนุษย์

702
“ข้าไม่เสียใจเลยแม้แต่นิดเดียว” Carl Panzram ฆาตกรต่อเนื่อง 21 ศพ ที่ขืนใจเด็กชายกว่า 1,000 ราย
“ข้าไม่เสียใจเลยแม้แต่นิดเดียว” Carl Panzram ฆาตกรต่อเนื่อง 21 ศพ ที่ขืนใจเด็กชายกว่า 1,000 ราย

“ข้าไม่เสียใจเลยแม้แต่นิดเดียว” Carl Panzram ฆาตกรต่อเนื่อง 21 ศพ ที่ขืนใจเด็กชายกว่า 1,000 ราย

“เร็วๆ สิวะ ระหว่างที่แกมัวแต่ชักช้าเนี่ย ฉันเชือดคนได้อีกเป็นโหลเลยนะโว้ย”

นี่คือคำพูดสุดท้ายของ ‘คาร์ล แพนซ์แรม’ หนึ่งในฆาตกรต่อเนื่องที่มีจิตใจบิดเบี้ยวมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ โดยตลอดชีวิตของเขา ได้ฆ่าคนไปทั้งหมด 21 คน ล่วงละเมิดทางเพศชายกว่า 1,000 คน ปล้นขโมยของ และลอบวางเพลิงจนต้องเข้าออกคุกนับครั้งไม่ถ้วน
และเรื่องราวทั้งหมดนี้เริ่มต้นขึ้นในเมืองอีสต์แกรนด์ฟอร์กส์ รัฐมินนิโซตา ปี 1891

วัยเด็กของคาร์ล แพนซ์แรม (Charles Carl Panzram)

ชาลส์ ‘คาร์ล’ แพนซ์แรม เกิดวันที่ 28 มิถุนายน ปี 1891 ณ เมืองอีสต์แกรนด์ฟอร์กส์ รัฐมินนิโซตา เขาเกิดในครอบครัวเชื้อสายปรัสเซีย โดยคุณพ่อชื่อ โยฮัน ก็อธลิบ แพนซ์แรม และคุณแม่ชื่อ มาธิลดา อลิซาเบธ หรือเรียกๆ สั้นว่า ‘จอ์หน’ และ ‘ลิซซี่’
เดิมทีจอห์นและลิซซี่อาศัยอยู่ที่ปรัสเซียตะวันออก ก่อนจะย้ายมายังประเทศอเมริกาตั้งแต่ก่อนจอห์นเกิด โดยทั้งคู่หาเลี้ยงครอบครัว ณ ดินแดนแห่งใหม่นี้ด้วยการทำฟาร์ม

คาร์ลมีพี่น้องถึง 8 คนด้วยกัน ด้วยความที่มีสมาชิกจำนวนมาก คุณภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวจึงไม่ได้ดีมากนัก พวกเขาถูกเลี้ยงแบบตามมีตามเกิด แถมยังถูกใช้แรงงานในฟาร์มตั้งแต่ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ ตั้งแต่จำความได้ พวกเขาถูกบังคับให้ทำฟาร์มตลอดทั้งวัน แบบไม่ได้หยุดพักและไม่ได้เที่ยวเล่นเหมือนกับเด็กคนอื่นๆ

ส่วนชีวิตในวัยเรียนของคาร์ลก็ไม่ได้ง่ายเช่นกัน เพราะแท้จริงแล้วจอห์นและลิซซี่ผู้เป็นพ่อแม่ ไม่ได้อยากส่งลูกๆ ไปเรียนเลย เพราะนั่นเท่ากับว่าพวกเขาขาดแรงงานไปจำนวนมาก แต่ในเมื่อกฎหมายบังคับ พวกเขาเลยต้องปล่อยให้ลูกไปโรงเรียน
วันธรรมดาในสัปดาห์ของคาร์ลจึงประกอบไปด้วยการไปโรงเรียนทั้งวัน ก่อนจะกลับมาช่วยทำฟาร์มทันทีหลังเลิกเรียนไปจนถึงดึกดื่น ขนาดที่ว่าบางคืนพวกเด็กๆ ได้นอนเพียงแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น!

ด้วยความที่เป็นเด็ก คาร์ลจึงแอบอู้หรือหลบหนีไม่ช่วยงานในฟาร์มบ้างตามประสา แต่จอห์นและลิซซี่มักจะรู้ทันเสียทุกครั้ง เขาถูกจับและถูกลงโทษอย่างโหดเหี้ยม ไม่ว่าจะเป็นการถูกห้ามออกจากบ้านเป็นเวลานาน หรือการอดอาหารเป็นวันๆ
และสิ่งนี้เองก็เป็นบ่อเกิดความรุนแรงในตัวคาร์ล

ตั้งแต่ 5-6 ขวบ เขาเริ่มมีพฤติกรรมรุนแรงผิดกับเด็กในวัยเดียวกัน ตั้งแต่นิสัยขวางโลก ไม่ชอบเด็กคนอื่นๆ พูดโกหก และลักขโมยสิ่งของ
และวันเวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆ โดยที่คาร์ลไม่ได้รับการขัดเกลานิสัยหรือสั่งสอนเลยว่า อะไรดีหรือไม่ดี
คาร์ลใช้ชีวิตอย่างไร้ทิศทาง จนกระทั่งในปี 1899 เขาก็ถูกตำรวจจับและตั้งข้อหาเป็นครั้งแรก ในโทษฐานเมาแล้วอาละวาด ทำลายข้าวของ โดยในเหตุการณ์นี้เขาอายุเพียง 8 ขวบเท่านั้น!

คาร์ลถูกนำไปพิจารณาคดีในศาลเยาวชนและเข้ารับการบำบัด แต่ไม่นานก็กลับมาใช้ชีวิตตามเดิม ทำพฤติกรรมเดิมๆ อีกครั้ง จนในปี 1903 ตอนที่คาร์ลอายุได้ 11 ขวบ เขาก็ถูกจับอีกครั้ง ในข้อหาเดิม ซึ่งก็คือการเมาสุราแล้วอาละวาด และหลังจากถูกปล่อยออกมาไม่นาน เขาก็ถูกจับอีกครั้งในข้อหาลักขโมย โดยเขาได้ขโมยเค้ก แอปเปิล และปืนพกจากเพื่อนบ้าน

ชีวิตในวัยเรียนที่แตกต่างจากคนทั่วไป

เมื่อถูกจับบ่อยครั้งเข้า จอห์นและลิซซี่ ผู้เป็นพ่อแม่ ก็เริ่มจะรู้ตัวแล้วว่าหากปล่อยไว้แบบนี้ ลูกชายอาจต้องลงเอยด้วยการนอนคุกไปตลอดชีวิตแน่ๆ พวกเขาจึงส่งคาร์ลไปเรียนที่ Minnesota State Training School โรงเรียนที่เน้นปรับนิสัยเด็กมีปัญหา หรือที่เรียกกันในภาษาไทยอย่างไม่เป็นทางการว่า ‘โรงเรียนดัดสันดาน’

โชคร้ายที่โรงเรียนนี้ไม่ได้ทำให้นิสัยของคาร์ลดีขึ้นเลย แต่มันกลับเป็นขุมนรกอีกแห่งที่เขาต้องพบเจอ
ณ โรงเรียนแห่งนี้ คาร์ลถูกทุบตีและทำร้ายร่างกายจนฟกช้ำดำเขียว เท่านั้นยังไม่พอ เขายังถูกล่วงละเมิดทางเพศซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยเจ้าหน้าที่ของโรงเรียน บาดแผลเหล่านี้ยิ่งทำให้จิตใจของคาร์ลที่บิดเบี้ยวอยู่แล้ว บิดเบี้ยวกว่าเดิมเป็นทวีคูณ

เขาเกลียดโรงเรียนนี้มากจนสัญญาว่าจะเผาโรงเรียนนี้ให้ได้ และเขาก็ได้ทำเช่นนั้นจริงๆ
ในวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ.1905 คาร์ลได้ทำการเผาโรงเรียนโดยไม่ถูกลงโทษ เพราะไม่มีใครตรวจพบ เหตุการณ์นี้ช่วยให้เขาได้กลับบ้านอีกครั้งตามที่ต้องการ แต่เพียงไม่นาน เขาก็ถูกส่งไปยังโรงเรียนดัดสันดานอีกแห่งที่ชื่อ Red Wing Training School เพราะถูกจับได้ว่าแอบขโมยเงินของแม่ตัวเอง

อยู่ได้ไม่นาน คาร์ลก็ตัดสินใจหนีออกจากโรงเรียนและออกไปใช้ชีวิตเร่ร่อน เขาเดินทางโดยการโบกรถ ขอติดรถบรรทุกที่ผ่านไปมาเรื่อยๆ ย้ายถิ่นฐานตัวเองไปยังที่ต่างๆ แบบค่ำไหนนอนนั่น และลักเล็กขโมยน้อยเพื่อประทังชีวิตไปวันๆ

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเมื่อคาร์ลอายุเพียง 12 ปีเท่านั้น
และเคราะห์ร้ายก็ได้มาเยือนอีกครั้ง เมื่อเขาอายุ 14 ปี เขาก็ถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยชายวัยรุ่น 4 คน การถูกกระทำครั้งนี้ยิ่งตอกย้ำให้ชีวิตที่แย่อยู่แล้ว แย่ลงอีกเป็นเท่าตัว ความเคียดแค้นกัดกินจิตใจของคาร์ลจนแทบไม่เหลือความคิดดีๆ อยู่เลย

“ต้องเอาชีวิตรอดไปให้ได้” กลายเป็นสัญชาตญาณที่ฝังไว้ในตัวคาร์ล เขาทำทุกอย่างแม้จะได้เงินเพียงเล็กน้อย ตั้งแต่การลอบวางเพลิง การปล้น ไปจนถึงการขายยาเสพติด เขาไม่สนว่าจะถูกหรือผิดอีกต่อไป ขอแค่เขามีชีวิตรอดก็พอ
ต่อมาในปี 1907 เมื่อคาร์ลอายุครบ 15 ปี เขาได้ตัดสินใจเกณฑ์ทหารเข้ากองทัพสหรัฐฯ และได้รับมอบหมายให้ไปเป็นทหารราบที่ 6 ที่ป้อมวิลเลียม เฮนรี แฮร์ริสัน
แต่ด้วยความที่คาร์ลผ่านชีวิตมาเยอะตั้งแต่เด็ก เขาจึงไม่เกรงกลัวใครและสนกฎระเบียบใดๆ ทั้งสิ้น แม้จะอยู่ในค่ายทหารก็ตาม

เขาไม่เชื่อฟังคำสั่งของผู้บังคับบัญชาหรือครูฝึกเลย แถมยังเอานิสัยขี้ขโมยมาใช้ในค่ายทหาร ทำให้ในเวลาต่อมา เขาถูกจับในโทษฐานขโมยของมูลค่า 80 ดอลลาร์ และต้องรับโทษจำคุกในค่ายวินัยของสหรัฐอเมริกานานถึง 3 ปี เมื่อครบระยะเวลาที่กำหนดไว้ คาร์ลในวัย 18 ปีก็ถูกเนรเทศออกจากค่ายทหารและกลับมาใช้ชีวิตแบบไร้จุดหมายอีกครั้ง

Advertisements

ชีวิตเร่ร่อนของคาร์ล

ตั้งแต่นั้นมา คาร์ลได้เดินทางไปทั่วสหรัฐอเมริกา บางครั้งก็ไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างเม็กซิโก ปานามา และคอสตาริกา โดยใช้วิธีการขอติดรถคนอื่นไปเรื่อยๆ ส่วนเรื่องอาหารการกินก็พึ่งการลักขโมยเช่นเดิม

การที่เขาเดินทางและเปลี่ยนที่เกิดเหตุไปเรื่อยๆ เช่นนี้ ทำให้เขาถูกตามจับตัวได้ยาก ประกอบกับในช่วงปี 1907 ที่ไม่ได้มีเทคโนโลยีในการเก็บข้อมูลหรือช่วยตามหาตัวคนร้าย คาร์ลจึงก่ออาชญากรรมได้ตามใจชอบ

คาร์ลเปลี่ยนชื่อไปเรื่อยๆ และขโมยทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่จักรยานไปจนถึงเรือยอช์ต ในหลายๆ ครั้งเขาได้ล่วงละเมิดทางเพศชายที่เขาดักปล้นอีกด้วย ด้วยความที่ทำงานหนักมาทั้งชีวิต เขาจึงมีรูปร่างใหญ่โต แข็งแรงกำยำ และมีพละกำลังเหนือกว่าเหยื่อมากๆ

และหลังจากคาร์ลคร่ำหวอดในวงการนี้มาอย่างยาวนาน เขาก็มีเงินทองมากมายจากการทำสิ่งผิดกฎหมาย โดยเฉพาะทรัพย์สินจากการปล้นครั้งใหญ่ในปี 1920 เมื่อคาร์ลอายุ 28 ปี

สถานที่ปล้นครั้งนั้นถือเป็นที่ฮือฮาอย่างมาก เพราะเป็นคฤหาสน์ของ ‘วิลเลียม ฮาวเวิร์ด เทฟท์’ อดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา โดยเขาได้ขโมยเครื่องประดับและพันธบัตรจำนวนมาก รวมถึงปืนและอาวุธอีกจำนวนหนึ่ง ทรัพย์สินจากการปล้นครั้งนี้ทำให้คาร์ลมีเงินเป็นจำนวนมาก มากพอที่เขาจะซื้อเรือยอช์ตเป็นของตัวเองได้ 1 ลำอย่างสบายๆ และชีวิตบนเรือของเขาก็ได้เริ่มต้นขึ้น

ล่องทะเลไปกับฆาตกร

คาร์ลออกเดินทางไปยังทวีปแอฟริกาตะวันออก โดยเขาได้จ้างเด็กหนุ่มหลายคนมาเป็นลูกเรือ และที่น่ากลัวคือเขามักจะให้ลูกเรือหนุ่มดื่มเหล้ากันอย่างสำราญ เพื่อให้พวกเขาเมาไม่ได้สติ จากนั้นเอง เขาก็จะเลือกเหยื่อที่ต้องการเพื่อล่วงละเมิดทางเพศ หากลูกเรือคนใดขัดขืน เขาก็จะทำการทรมานด้วยสารพัดวิธี ไปจนถึงการฆ่าทิ้งอย่างเหี้ยมโหด

ทะเลนั้นไม่ต่างกับบ้านเมืองที่ไร้ขื่อ การสังหารผู้คนนั้นทำได้ง่าย เพราะไม่มีใครรู้เห็นเลยนอกจากคนบนเรือเท่านั้น ส่วนการกำจัดศพก็ทำเพียงแค่โยนลงน้ำ

รายงานพบว่าในการเดินทางของคาร์ลครั้งนี้ มีลูกเรือถูกสังหารมากถึง 10 ราย ก่อนที่เรือจะกลับมาเทียบท่า ณ แอตแลนติกซิตี้ แม้จะมีลูกเรือ 2 คนที่รอดชีวิตมาได้ แต่พวกเขาก็หลบหนีไปและไม่มีข้อมูลของพวกเขาหลังจากนั้นเลย

หลังขึ้นฝั่งได้ไม่นาน คาร์ลก็ถูกจับกุมอีกครั้งในข้อหาลักทรัพย์และครอบครองอาวุธปืน ทำให้เขาต้องรับโทษจำคุกอยู่ราวๆ 6 เดือน หลังออกจากคุก เขาได้ขึ้นเรือไปยังประเทศแองโกลา ซึ่ง ณ ที่นั่นเขาได้ล่วงละเมิดและฆ่าเด็กชายอายุประมาณ 11 ปี ไปอีก 1 ราย

ในช่วงเวลานั้น เขาได้เช่าเรือลำหนึ่งพร้อมฝีพายจำนวน 6 คนเพื่อไปล่าจระเข้ โชคร้ายที่ทั้ง 6 คนนี้ถูกคาร์ลยิงทิ้ง ก่อนจะนำร่างโยนให้จระเข้กินอย่างโหดเหี้ยม เหตุการณ์นี้ นับว่าเป็นเรื่องที่ผู้คนกล่าวถึงคาร์ลกันมากที่สุดก็ว่าได้

Advertisements

กลับบ้านเกิดอีกครั้งในวัยสามสิบ

คาร์ลกลับมาเหยียบดินแดนบ้านเกิดอีกครั้งในวัย 30 พร้อมกับประสบการณ์อันโชกโชน ครั้งนี้เขากลับมาก่อเหตุฆาตกรรมมากมาย รวมถึงล่วงละเมิดทางเพศเหยื่ออีกนับไม่ถ้วน

ในปี 1923 คาร์ลถูกจับในคดีย่องเบา แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจคิดว่าเขาเป็นเพียงโจรกระจอกธรรมดา จึงจับเข้าคุกด้วยโทษเพียงไม่กี่ปี
ในปี 1928 เขาถูกจับกุมอีกครั้งที่วอชิงตัน ด้วยคดีขโมยวิทยุและเครื่องประดับจากทันตแพทย์ท่านหนึ่ง แต่เหมือนโชคจะเข้าข้าง เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจเริ่มสงสัยว่า รูปพรรณสัณฐานของคาร์ลนั้นคล้ายกับฆาตกรในคดีฆาตกรรมหลายๆ คดี ที่พวกเขายังจับไม่ได้ ทำให้คาร์ลถูกนำไปสอบปากคำในคดีฆาตกรรมเพิ่มเติม

และดูเหมือนคาร์ลจะไม่ได้แคร์เท่าไรนักว่าจะถูกจับ เพราะเขาเล่าเจ้าหน้าที่ฟังถึงการฆาตกรรมต่างๆ แบบหมดเปลือก!
ในบทสนทนา เขาเอ่ยออกมาว่า “มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่เลวร้าย น่าขยะแขยง และควรถูกกำจัดมากที่สุด” โดยคาร์ลบอกว่าการที่เขาฆ่ามนุษย์นั้นคือหน้าที่ที่เขาควรทำด้วยซ้ำ สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงจิตใจอันบิดเบี้ยวของเขาที่เริ่มจากการเป็นผู้ถูกกระทำในวัยเด็ก

อย่างไรก็ตาม คำสารภาพเหล่านี้ก็ไม่ได้ทำให้เขาได้รับโทษรุนแรงถึงขั้นประหาร เพราะศาลสามารถลงโทษได้เพียงแค่คดีที่มีหลักฐานสนับสนุนเท่านั้น ทำให้ผลพิจารณาคดีออกมาว่า คาร์ล แพนซ์แรม ต้องรับโทษจากคดีฆาตกรรมและการก่ออาชญากรรม ด้วยการจำคุกเพียง 25 ปี

การเข้าคุกครั้งสุดท้ายของคาร์ล

คาร์ลถูกนำตัวไปขังที่เรือนจำกลางเลฟเวนเวิร์ธ ซึ่งเป็นที่ที่เขาได้พบกับคู่ปรับตัวฉกาจ
ณ เลฟเวนเวิร์ธ มีผู้คุมคนหนึ่งชื่อ โรเบิร์ต วังร์เก้ ซึ่งขึ้นชื่อว่าชอบรังแกและทำร้ายนักโทษในคุกอยู่เป็นประจำ แน่นอนว่า ตั้งแต่เข้าไป คาร์ลก็เห็นนักโทษคนอื่นๆ โดนโรเบิร์ตทำร้ายอยู่บ่อยๆ

คาร์ลมักจะพูดลอยๆ ออกมาว่า “ถ้าไม่อยากตาย ก็อย่ามารบกวนฉัน”

สิ่งนี้เองทำให้โรเบิตกับคาร์ลดูจะเขม่นกันบ่อยๆ
หลายต่อหลายครั้งมีเหตุการณ์ให้ทั้งคู่เกือบปะทะกัน แต่ก็มีคนห้ามไว้ทันจึงยังไม่เกิดเหตุร้ายแรงขึ้น แต่แล้วในวันที่ 20 มิถุนายน 1929 ทั้งคู่ก็ปะทะกันอย่างรุนแรง และจบลงด้วยการที่คาร์ลใช้ท่อนเหล็กทุบโรเบิร์ตจนตายคาคุก

การสังหารผู้คุมอย่างโหดเหี้ยมทำให้คาร์ลถูกนำตัวไปขึ้นศาลใหม่ทันที และด้วยความผิดร้ายแรงนี้ ศาลจึงพิจารณาเพิ่มโทษให้คาร์ลเป็นการประหารชีวิตในที่สุด
ระหว่างรอการประหารชีวิต คาร์ลได้ทำความรู้จักกับผู้คุมคนหนึ่งที่ชื่อ เฮนรี ฟิลลิป เลสเซอร์ ซึ่งเขามักจะซื้อบุหรี่มาให้คาร์ลเสมอ แถมยังหาสมุดดินสอมาให้เขาได้เขียนบันทึก ระหว่างการรอวันประหาร

ในบันทึกนั้น คาร์ลได้เขียนเล่าเรื่องราวของเขาไว้ว่า “ในช่วงชีวิตของฉัน ฉันได้ฆ่าคนไปแล้ว 21 คน ฉันขโมยของ ปล้น และลอบวางเพลิงนับพันครั้ง นอกจากนั้นฉันยังได้ล่วงละเมิดทางเพศผู้ชายไปมากกว่า 1,000 คน และแน่นอนว่าฉันไม่เคยรู้สึกเสียใจเลยแม้แต่น้อยกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเหล่านี้”

และแล้วในวันที่ 5 กันยายน 1930 ก็ถึงวันที่คาร์ลต้องถูกนำตัวไปประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ
ขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังจะคลุมศีรษะเขาด้วยผ้าสีดำและถามถึงคำพูดสุดท้ายก่อนประหาร คาร์ลได้ถ่มน้ำลายใส่เจ้าหน้าที่และบอกว่า
“เร็วๆ สิวะไอ้เวร ระหว่างที่แกมัวแต่ชักช้าเนี่ย ฉันเชือดคนได้อีกเป็นโหลเลยนะโว้ย”

หลังเสียชีวิตร่างของคาร์ลถูกนำไปฝัง ณ สุสานทัณฑสถานเลฟเวนเวิร์ธ โดยป้ายหลุมศพของเขาไม่ได้ระบุชื่อไว้ แต่เป็นการเขียนหมายเลขนักโทษ ‘31614’ ของเขาไว้เท่านั้น


รับฟังเนื้อหาเต็มๆ ได้ที่ :: https://youtu.be/V5vOfisunuo

#missiontopluto
#filenotfound

 

Advertisements