ความเชื่อหลุดโลกของอีลอน มัสก์

2039
มีเวลาไม่เยอะอยากอ่านสั้นๆ
  • อีลอน มักส์ เป็นอัจฉริยะที่มีมุมมองต่อโลกและจักรวาลที่หลุดโลก เขาต้องการเริ่มส่งคนไปดาวอังคารในปี 2024 ดังนั้นจึงได้คิดเกี่ยวกับเรื่องรัฐบาลของดาวอังคารเรียบร้อยแล้ว และเขาไม่เพียงอยากให้มนุษย์อยู่รอดบนดาวอังคาร แต่ต้องการสร้างเมืองจริงๆขึ้นมา
  • อีลอนกล่าวว่าใครก็ตามที่ไปดาวอังคารนั้น “อาจเสียชีวิตได้” แต่การตายในอวกาศก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่นัก แต่หากไม่อยากเดินทางไปดาวอังคาร คุณก็สามารถเดินทางไปรอบโลกด้วยจรวดสเปซเอ็กซ์ได้
  • เขากล่าวว่าการยับยั้งคนจากการใช้รถยต์ขับเองก็เหมือนเป็นการฆ่าพวกเขากลายๆ และได้เปรียบเทียบการรับผิดชอบกรณีการชนของรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยตัวเองเหมือนการติดลิฟต์

เช้านี้ผมตื่นมาอ่านบทความจากบิสซิเนส อินไซเดอร์ (Business Insider) ชื่อ The 14 craziest things Elon Musk believes right now อ่านแล้วรู้สึกมีความอยากมาเขียนให้ทุกคนอ่านต่อ 

นี่คือลิงก์ต้นฉบับครับ http://read.bi/2gaTR2P

อย่างที่รู้ๆกันว่าอีลอน มัสก์ มีมุมมองต่อโลกและจักรวาลที่ไม่เหมือนชาวบ้านมากๆ อย่างข่าวที่สร้างความฮือฮาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็เป็นเรื่องการจะสร้างจรวดบีเอฟอาร์ หาคนไปที่ไหนก็ได้ในโลกโดยใช้เวลาราวๆ 30 นาที (ไม่มีจุดไหนเกิน 1 ชั่วโมง)

Advertisements

บางทีอาจจะฟังดูบ้า หรือบางคนอาจจะคิดว่านี่คือสุดยอดอัจฉริยะ หรืออีลอนอาจจะเป็นทั้งสองอย่าง แต่ไม่ว่าจะคุณจะเชื่ออย่างไรก็ตาม อย่างน้อยที่สุดผมเชื่อว่าคุณต้องหยุดฟังความคิดของผู้ชายคนนี้สักหน่อย ไม่ว่าคุณจะคิดว่าเขาจะบ้าหรืออัจฉริยะแค่ไหนก็ตาม

และนี่คือ 14 ความคิดที่หลุดโลกที่สุดของ อีลอน มัสก์ ตั้งแต่เรื่องดาวอังคารไปจนถึง AI

1. อีลอนต้องการจะเริ่มส่งคนไปดาวอังคารในปี 2024

เขาบอกไว้ว่าวงโคจรของโลกและดาวอังคารจะมาพบกันทุก 26 เดือน ซึ่งจะเกิดขึ้นในปี 2018 และอีกครั้งในปี 2020 และถ้าหากทุกอย่างเป็นไปตามแผน เราน่าจะสามารถส่งคนไปได้ในปี 2024 และไปถึงในปี 2025 ส่วนเรื่องยานที่จะส่งคนไปก็มีแแผนไว้แล้วเช่นกัน และเขาเพิ่งบอกแผนที่ละเอียดขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง

2. อีลอนมีแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องรัฐบาลของดาวอังคารเรียบร้อยแล้ว 

เขาเชื่อว่ารัฐบาลของดาวอังคารควรจะเป็นประชาธิปไตยโดยตรง (direct democracy) ไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบตัวแทน (representative democracy) หมายความว่ามนุษย์บนดาวอังคารควรจะสามารถโหวตโดยตรงในเรื่องประเด็นต่างๆได้เลย

3. อีลอนไม่ได้ต้องการให้มนุษย์แค่อยู่รอดบนดาวอังคารเท่านั้น แต่เขาต้องการสร้างเมืองจริงๆขึ้นมา

โดยเขาพูดใน Reddit AMA ว่า เขาต้องการให้ดาวอังคารมีทุกอย่าง ตั้งแต่ “โรงเชื่อมเหล็ก” ไปยัน “ร้านพิซซ่า”  

4. แต่อีลอนบอกว่าใครก็ตามที่ไปดาวอังคาร จะต้องเตรียมตัว เพราะ “อาจเสียชีวิตได้”

“ปฐมบทของการเดินทางไปดาวอังคารจะเป็นสิ่งที่อันตรายมาก” “โอกาสในการเสียชีวิตมีสูงมาก” นี่คือสิ่งที่เขาได้กล่าวไว้

5. อย่างไรก็ดี หากดาวอังคารไม่อยู่ในความสนใจของคุณ คุณก็ยังสามารถเดินทางในจรวดของสเปซเอ็กซ์ (SpaceX) ไปรอบโลกได้ 

“มีผู้คนมากมายคิดว่าการเดินทางครึ่งชั่วโมงก็เป็นสิ่งที่นานแล้ว” อีลอน มัสก์กล่าวไว้ในงานรัฐสภาระหว่างประเทศทางดาราศาสตร์ (International Astronautical Congress) ที่อเดเลด ประเทศออสเตรเลีย ในวันศุกร์ที่ผ่านมา

6. แต่ถ้าคุณอยากเสี่ยงเดินทางไปดาวอังคาร การตายในอวกาศก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่นักหรอก

อีลอนได้กล่าวไว้เมื่อปี 2016 ว่า “ผมคิดว่าถ้าคุณจะเลือกสถานที่ที่จะตาย ดาวอังคารก็ไม่เลวเลยทีเดียว”

7. อีลอนกล่าวไว้ว่าการยับยั้งคนจากการใช้รถยนต์ขับเอง (self-driving car) ก็เหมือนกับการฆ่าพวกเขากลายๆ นั่นแหละ

ในเดือนตุลาคมปี 2016 ตอนที่เขาถูกวิจารณ์หนักๆ เมื่อรถเทสลาเกิดอุบัติเหตุจากการขับเคลื่อนอัตโนมัติ เขาได้กล่าวไว้ว่าเขาขอพูดอะไรตรงๆเกี่ยวกับเรื่องนี้หน่อยถึงสิ่งที่สื่อเขียนเกี่ยวกับกรณีอุบัติเหตุ เพราะการเปรียบเทียบมันช่างไม่เข้าท่าเอาเสียเลยกับการนำกรณีนี้มาตีข่าวเสียใหญ่โต ทั้งที่อุบัติเหตุที่มีคนเสียชีวิตจากการที่มนุษย์ขับรถยนต์เองปีละ 1.2 ล้านคน

ถ้าเราลองคิดดูดีๆ ข่าวด้านลบที่สื่อพยายามจะเขียนออกไปนั้น มันเท่ากับไปยับยั้งไม่ให้คนอยากใช้รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยตัวเอง ซึ่งในอีกมุมมองก็คือการฆ่าพวกเขากลายๆนั่นแหละ (เพราะรถยนต์ที่มนุษย์ขับ โดยสถิติแล้วเกิดอุบัติเหตุสูงกว่ารถยนต์ดังกล่าวเยอะกว่าโดยเทียบกันแบบไมล์ต่อไมล์)

8. อีลอนยังเปรียบเทียบการรับผิดชอบกรณีการเกิดการชนของรถยนตร์ขับเคลื่อนด้วยตัวเองกับการติดอยู่ในลิฟต์

“ไม่ ผมคิดว่าสิ่งเหล่านั้นควรขึ้นอยู่กับประกันภัยของแต่ละบุคคล”

Advertisements

เขาตอบเมื่อถูกถามว่าเทสลาจะรับผิดชอบในกรณีที่รถยนต์ขับเองของพวกเขา เกี่ยวข้องในอุบัติเหตุไหม 

เขากล่าวว่า มุมมองของเรื่องรถยนต์ขับเองก็คล้ายกับเรื่องการกับเรื่องการติดอยู่ในลิฟต์ โดยกล่าวว่า Otis (บริษัทผลิตลิฟต์) ก็ไม่ได้รับผิดชอบการที่มีคนติดลิฟต์ของพวกเขาที่มีติดตั้งอยู่ในอาคารทั่วโลกเสียหน่อย

9. ยามว่างจากการวางแผนส่งมนุษย์ไปดาวอังคาร อีลอนใช้เวลาถกเถียงว่าจริงๆแล้ว พวกเราปรากฏอยู่ในวิดีโอเกมของอารยธรรมอื่นหรือเปล่า

อีลอนกล่าวมีการคิดและถกเถียงกันเรื่องไอเดียสมมติขึ้นมาตลอดเวลา เช่นว่า เราอยู่ในโลกเสมือนจริงหรือเปล่า

10. แต่มันก็เป็นเรื่องที่น่าถกเถียง เพราะว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าเราจะอยู่ในโลกเสมือนมากกว่าโลกจริง

11. อีลอนบอกว่า จะว่าไปแล้ว พวกเราควรจะหวังว่าตอนนี้เราอยู่ในโลกเสมือนกันนะ เพราะถ้าไม่ หายนะอาจกำลังจะมาถึงเร็วๆ

“ว่ากันตามจริง เราควรจะหวังว่าเราอยู่ในโลกเสมือนนะ เพราะถ้าหากอารยธรรมของโลกหยุดที่จะพัฒนาต่อ อาจจะเป็นเพราะว่าเหตุจากภัยพิบัติบางอย่างที่มาลบล้างอารยธรรมที่เราเคยมีมา

เพราะฉะนั้นเราน่าจะหวังว่านี่เป็นแค่โลกเสมือน เพราะไม่อย่างนั้นเราจะไม่สร้างโลกเสมือนที่แยกไม่ออกจากความจริงขึ้นมา หรือไม่อารยธรรมของเราก็จะจบลง” 

12. อีลอนบอกว่า มนุษย์เป็น “หุ่นยนต์” กันอยู่แล้วล่ะ

เขาบอกว่าความสามารถในการสร้างตัวตนบนโลกดิจิทัลของพวกเราทุกวันนี้ทำให้เรามีพลังไม่ต่างจากหุ่นยนต์ และยังบอกว่า “ทุกวันนี้พวกเรามีพลังวิเศษเหมือนที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีเมื่อ 20 ปีที่แล้ว”

“คุณสามารถคุยกับใครก็ได้ เมื่อไรก็ได้ เห็นหน้าใครที่ไหนก็ได้ ส่งข้อความของคุณถึงคนเป็นล้านๆคนทั่วโลกพร้อมกันได้ มันช่างอัศจรรย์จริงๆ” 

13. อย่างไรก็ดี อีลอนบอกว่าเราควรจะมีการเพิ่มสติปัญญาเชิงดิจิทัล (digital layer of intelligence) เข้าไปในสมองของเรา เพื่อป้องกันการตกเป็น “สัตว์เลี้ยง” ของพวก AI

อีลอนกล่าวว่าหนึ่งในวิธีการที่จะป้องกันการตกเป็น “สัตว์เลี้ยง” ของ AI คือการเพิ่มชั้น AI เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายของเรา

14. อีลอนบอกว่า AI คือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์

เขากล่าวว่าเราต้องระมัดระวังอย่างมากในเรื่องของ AI โดยเชื่อว่าควรมีกฎระเบียบอย่างจริงจังที่เข้ามาควบคุมกำกับการเรื่องการพัฒนา AI ทั้งในระดับประเทศและระดับโลก เพื่อที่จะมั่นใจได้ว่าจะไม่มีใครทำอะไรที่พวกเราจะเสียใจกันภายหลัง เพราะกับ AI แล้ว มันมีความเป็นไปได้ว่าเรากำลังปลุกปีศาจขึ้นมาอยู่


เขียนเสร็จแล้วต้องบอกว่าเป็นเช้าที่เหนื่อยเอาการ ไม่ได้เหนื่อยเพราะเขียน แต่เหนื่อยเพราะคิดตาม ผมไม่รู้จริงๆว่าไอเดียเหล่านี้อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง อะไรดูบ้าหลุดโลกเกินไปบ้าง แต่ที่แน่ๆผมเชื่อว่าทัศนคติและความฝัน คือจุดเริ่มต้นของทุกอย่างที่มนุษย์เคยทำได้มาตลอดประวัติศาสตร์ที่เราเกิดมาบนโลกนี้

และ ณ วันนี้คนที่มีทัศนคติและความฝันที่น่าจับตามองที่สุดคนนึงของโลกคงหนีไม่พ้นอีลอน มัสก์นี่แหละครับ

ผมเชื่อในคำพูดนึงที่อยู่ในโฆษณาแอปเปิ้ลที่ว่า

คนที่บ้ามากพอจะคิดว่าตัวเองเปลี่ยนโลกได้ ก็คือคนที่เปลี่ยนโลกได้จริงๆนั่นแหละ
The people who are crazy enough to think they can change the world, are the ones who do.<span class="su-quote-cite">Apple</span>

Photo credit : vanityfair.com

Advertisements

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่