หากลองย้อนมองกลับไปหลายปีก่อน เชื่อว่าหลายคนคงมองว่าการสั่งของจากต่างประเทศเป็นเรื่อง “ยาก” ทั้งขั้นตอนที่ดูงุนงง การขนส่งที่มีความซับซ้อน ทำให้เราเลือกที่จะไม่สั่งตั้งแต่แรก
แต่เมื่อลองหันกลับมามองที่ปัจจุบัน หลายคนคงเป็นนักชอปตัวยง ที่ไม่ว่าจะเป็นการสั่งสินค้าจากในไทยและโดยเฉพาะในต่างประเทศ ก็ไม่ใช่อุปสรรคอีกต่อไป เพราะกระบวนการต่างๆ ในการสั่ง ส่ง และรับ นั้นง่ายมากยิ่งขึ้น จากการเข้ามาของเทคโนโลยี ที่เป็นเสมือนตัว “เชื่อม” ให้นักซื้อและนักขายจากแต่ละประเทศมาเจอกัน
เรียกได้ว่าเป็นยุคที่ Borderless ของการซื้อขายอย่างแท้จริง แล้วอะไรทำให้เรามาถึงจุดนี้กันได้?
ปัจจัยผลักดันหลักๆ ที่ทำให้บริษัทกระตือรือร้นในการพัฒนาเทคโนโลยี และเห็นโอกาสการส่งออกมากขึ้น และในอีกฝั่งหนึ่งก็ทำให้เหล่าผู้บริโภคเปิดใจกับการซื้อของออนไลน์ คือ “การระบาดของโควิด-19”
ด้วยข้อจำกัดของการล็อกดาวน์ในตอนนั้นที่เป็นบังคับให้ผู้คนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทุกคนต่างหันเข้าสู่โลกออนไลน์ ที่ทั้งสะดวก รวดเร็ว แทบจะไม่ต้องก้าวออกจากบ้านไปไหน ก็มีสินค้าหรืออาหารมาส่งถึงหน้าบ้าน
จากข้อมูลของ Statista ระบุว่า ยอดขายสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Goods) ผ่านทางช่องทางออนไลน์ทั่วโลกในปี 2021 นั้นเพิ่มขึ้นกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (181 ล้านล้านบาทไทย) หรือเพิ่มขึ้นกว่า 18% จากปี 2020
สำหรับฝั่งประเทศไทย จากข้อมูลของ Lazada ในปี 2021 ตลาด eCommerce ไทย มีมูลค่าอยู่ที่ 3.5 แสนล้านบาท นับว่าเติบโต 21% จากปีก่อนหน้า ในส่วนของตลาด Cross-Border eCommerce แบบ B2C นั้นมีมูลค่าอยู่ที่ 793 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (2.8 หมื่นล้านบาท) และยังคาดว่าจะมีการเติบโตต่อปีกว่า 25.1% จากข้อมูลของ Vantage Market Research
ชี้ให้เห็นว่าตลาดออนไลน์นั้นยังคงมีโอกาสเติบโตอยู่เรื่อยๆ การระบาดของโควิด-19 และการพัฒนาของเทคโนโลยี ไม่แค่เปลี่ยนพฤติกรรมของผู้คนทั่วโลกแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่เปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อไปตลอดกาล ด้วยข้อเท็จจริงนี้ ทำให้ฝั่งผู้ขายจะต้องปรับตัวให้ทันความต้องการของผู้บริโภคและทันเทรนด์ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก เพื่อที่จะคว้าโอกาสการส่งออกสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ นอกประเทศ
DITP สนับสนุนธุรกิจไทยส่งออกต่างประเทศผ่านการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์
แต่ในทางหนึ่ง ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเข้าสู่โลกดิจิทัลและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในต่างประเทศ อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายสำหรับผู้ประกอบการหลายๆ คน ที่อาจจะไม่ได้มีพื้นฐานเรื่องเทคโนโลยีมาก่อน หรือไม่มีพื้นฐานการส่งออกสินค้ามาก่อน
ทางกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ หรือ DITP ก็เห็นโอกาสที่เกิดในตลาดโลก และเห็นถึงความต้องการช่วยเหลือในกลุ่มธุรกิจไทย ที่ยังมีโอกาสเติบโตและอยากที่จะขยายฐานลูกค้าไปยังต่างประเทศ ทั้งในรูปแบบของการขายระหว่างเจ้าของธุรกิจสู่เจ้าของธุรกิจ (B2B) และเจ้าของธุรกิจสู่ผู้บริโภค (B2C)
ในการส่งออกต่างประเทศผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล การมี “ชุดข้อมูลและความเข้าใจรูปแบบการขายออนไลน์” เป็นเรื่องพื้นฐานสำคัญที่ผู้ประกอบการควรมี ทาง DITP จึงได้มีการริเริ่มกิจกรรม “Cross-Border eCommerce ขายออนไลน์สู่ตลาดโลก” ซึ่งเป็นกิจกรรมในรูปแบบ Webinar ที่จะชวนแพลตฟอร์มต่างๆ รวมถึงทูตพาณิชย์ทั่วโลกมากพูดคุย เจาะลึกถึงการค้าขายบนตลาดออนไลน์ ซึ่งแพลตฟอร์มที่เชิญชวนมาพูดคุย แบ่งปันแนวทางการขายให้กับผู้ประกอบการก็เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์แนวหน้า ไม่ว่าจะเป็น Shopee, Amazon Global Selling Thailand, PChome Thai, Klangone และผู้จัดการร้าน Thailand Food Country Tmall Official Store บนแพลตฟอร์ม Tmall, Reach 360 Activation, Bigbasket, Business Engineer Asia (Singapore) และ Amazon SG เป็นต้น
นอกจากจะเป็นพื้นที่ที่มอบเทคนิคการขายให้กับผู้ประกอบการแล้ว ทาง DITP ก็ยังสร้างแพลตฟอร์มต่างๆ ขึ้นมา เพื่อเชื่อมผู้ประกอบการไทยเข้ากับตลาดโลก ไม่ว่าจะเป็น Thaitrade.com ตลาดอีคอมเมิร์ซที่จัดตั้งโดยหน่วยงานไทย ที่ให้ลูกค้าทั้ง B2B และ B2C จากต่างประเทศ สามารถเข้ามาซื้อสินค้าจากผู้ประกอบการไทยได้ผ่านเว็บไซต์
นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งโครงการ “TOPTHAI” หรือ “TOPTHAI Flagship Store” เป็นร้านค้าออนไลน์ของทาง DITP ที่เปิดอยู่บนแพลตฟอร์ม eCommerce ชั้นนำ ที่เปิดให้ธุรกิจไทยเข้าร่วมนำสินค้าขึ้นไปขาย โดยในปัจจุบัน TOPTHAI ได้เปิดร้านบนแพลตฟอร์มออนไลน์ไปแล้ว 7 แพลตฟอร์มด้วยกัน ได้แก่ Tmall.com (จีน), Bigbasket.com (อินเดีย), Amazon.com (สหรัฐอเมริกา) และ Klangthai.com (กัมพูชา) Blibli.com (อินโดนีเซีย) PChome Thai (ไต้หวัน) และล่าสุด Shopee (มาเลเซีย, สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์)
นับว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับธุรกิจต่างๆ ที่อยากมีช่องทางในการช่วยนำสินค้าเข้าไปขาย เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าประเทศต่างๆ
“Sesamilk” และ “Longbeach Syrup” แบรนด์ไทยที่ค้าขายข้ามพรมแดนได้จริง
คุณวัฒน เจ้าของแบรนด์ “Sesamilk” น้ำนมงา เผยว่า ธุรกิจนั้นมีความสนใจที่จะขยายตลาดขึ้นไปขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง Amazon อยู่แล้ว ประจวบเหมาะกับที่ตอนนั้นทางโครงการ TOPTHAI ได้เปิดรับสมัครแบรนด์ ทาง Sesamilk เห็นโอกาสจึงได้สมัครเข้าร่วม
แต่ด้วยผลิตภัณฑ์ที่เป็นกลุ่มอาหารทางเลือก (Plant-based Food) จึงทำให้เกิดความกังวลใจในการส่งออกไปยังสหรัฐฯ แต่เมื่อส่งไปเดือนเดียวก็เห็นผลตอบรับที่ดี จึงดำเนินการส่งออกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งภายใต้กระบวนการทั้งหมดทั้งมวลก็ได้รับการสนับสนุนและคำปรึกษาจาก DITP ทำให้ทุกขั้นตอนนั้นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเพิ่มช่องทางการขายได้จริง
เช่นเดียวกันกับแบรนด์ “LongBeach Syrup” โดยคุณอุษา บุญให้ Assistant Business Development Manager
ได้เผยว่า เคยร่วมงานกับทาง DITP มาหลายครั้ง ตั้งแต่การจัดงานในรูปแบบออฟไลน์ ซึ่งทาง DITP ก็ได้ดูแล ให้คำแนะนำเรื่องเอกสาร รวมถึงช่องทางอื่นๆ ที่น่าสนใจในการขยายตลาดได้เป็นอย่างดี
ซึ่งก็ทำให้ทาง Longbeach Syrup สามารถขยายฐานการค้าได้กว้างมากยิ่งขึ้น เพราะตลาดลูกค้าของแบรนด์จะอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นส่วนมาก แต่ด้วยความช่วยเหลือจาก DITP ก็ทำให้สามารถเจาะกลุ่มไปยังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ยังเข้าไม่ถึงได้ รวมถึงยังช่วยให้ขยายฐานตลาดไปยังฝั่งประเทศตะวันตกได้อีกด้วย
ทาง Longbeach Syrup ยังเข้าร่วมกิจกรรม Cross-Border ซึ่งทำให้ได้เริ่มขึ้นขายบน Amazon หลังจากได้ขายกับทาง Amazon มาสักพักก็มียอดขายเข้ามาเรื่อยๆ ทำให้ได้ส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ ทั้งผ่านทางเรือและทางเครื่องบิน
จากความสำเร็จของทั้งสองแบรนด์นี้ก็ทำให้เราเห็นว่านอกจากโอกาสภายในประเทศแล้ว เมื่อเรามองเหนือไปจากพรมแดนประเทศไทย มันยังมีโอกาสในการขายอีกมากในต่างประเทศ ซึ่งในปัจจุบัน การคว้าโอกาสทางการขายก็ไม่ได้ทำได้ยากและซับซ้อนเหมือนเมื่อก่อน เราเพียงต้องเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย และเลือกใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ให้เป็น เพราะ ในปัจจุบัน “การค้าขาย ไม่มีพรมแดน”
Mission To The Moon x DITP
