ในเกือบทุกแบรนด์ เรื่องราวของแบรนด์คือหัวใจสำคัญไม่แพ้องค์ประกอบอื่นๆ เลยนะครับ นั่นคือเหตุผลที่ทำไมแบรนด์ส่วนใหญ่จึงให้ความสำคัญกับการเล่าเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นจุดเริ่มต้น ความหมาย หรือระหว่างทางกว่าจะมาเป็นแบรนด์นั้นๆ ซึ่งการที่เรื่องเล่าเหล่านี้ได้ถูกสร้างสรรค์ออกมาผ่านแบรนด์ก็เป็นอีกทางหนึ่งในการเพิ่มคุณค่าของสินค้าเช่นกัน
แบรนด์รถญี่ปุ่นอย่างซูบารุเอง ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในเรื่องการพัฒนาเทคโนโลยีล้ำๆ แนวๆ หลายอย่าง ก็มีเรื่องราวที่เริ่มต้นจากความตั้งใจที่จะสร้างยานยนต์บินได้! แถมชื่อคำว่าซูบารุก็เป็นภาษาญี่ปุ่น ที่มีความหมายน่ารักๆ ว่า “ดาวลูกไก่” อีกด้วย
กลุ่มดาว 6 ดวงท่ามกลางสีน้ำเงิน
เพราะคุณเคนจิ คิตะ ประธานคนแรกของบริษัทซูบารุยืนยันอย่างหนักแน่นว่ารถของญี่ปุ่นควรจะใช้ชื่อภาษาญี่ปุ่น ชื่อแบรนด์ซูบารุจึงมาจากคำภาษาญี่ปุ่นซึ่งแปลว่า “ดาวลูกไก่” ซึ่งเป็นกลุ่มดวงดาว 7 ดวงที่สามารถมองได้ตาเปล่าเพียง 6 ดวงและสามารถเห็นดาวสีอมน้ำเงินได้ประมาณ 250 ดวงผ่านกล้องโทรทัศน์ และในภาษาญี่ปุ่น กลุ่มดาวนี้ยังมีอีกชื่อคือ “มุทสึระโบชิ” ที่แปลว่า “ดาว 6 ดวง” และปรากฎบ่อยๆ ตามบันทึกโบราณ ไปจนวรรณคดีของญี่ปุ่น ซึ่งทั้งชื่อและสีที่มีความหมายนี้ได้กลายมาเป็นโลโก้ที่จดจำได้ง่ายของซูบารุ ที่เป็นดาวแฉกจำนวน 6 ดวงท่ามกลางพื้นหลังสีน้ำเงินนั่นเอง
ตำนานของยานยนต์แห่งเทคโนโลยี
แม้ว่าบริษัทซูบารุก่อตั้งข้ึนในปี 2498 แต่ประวัติของซูบารุเริ่มต้นมากว่าร้อยปีแล้ว แรกเริ่มเดิมทีนั้นไม่ได้ใช้ชื่อซูบารุอย่างตอนนี้ แต่เป็นบริษัทฟูจิ เฮฟวี่ อินดัสทรี (Fuji Heavy Industries Ltd.) และมีเป้าหมายในการบินทะยานข้ามฟ้า ซึ่งความตั้งใจอันแรงกล้านี้กลายมาเป็นความมุ่งมั่นที่จะผลิตรถยต์ที่นั่งส่วนบุคคลให้สำเร็จให้ได้ในเวลาต่อมา และในที่สุด ปี ค.ศ.1954 ซูบารุก็สามารถทำสำเร็จโดยการผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคลได้เป็นครั้งแรกคือ P-1 หรือเป็นที่รู้จักในชื่อ Subaru 1500
รถยนต์รุ่นคลาสสิก
หลังจากนั้น ซูบารุก็ยังคงพัฒนามาเรื่อยๆ จนสามารถเริ่มต้นประวัติศาสตร์สำคัญของวงการรถยนต์ในปี 1958 โดยการเปิดตัวรถยนต์ Subaru 360 หรือที่มีชื่อเล่นว่า Ladybird ออกสู่ท้องตลาด และรถรุ่นนี้ได้กลายมาเป็นรถยนต์ยอดนิยมภายในระยะเวลาไม่นาน
2 ปีต่อมา ทางซูบารุได้เริ่มออกจำหน่ายรถบรรทุก Subaru Sambar และ Subaru Sambar รุ่นที่สองก็ได้ออกจำหน่ายในไม่กี่ปีถัดมา ออกมาซึ่งเป็นรถบรรทุกขนาดเล็กสุดคลาสสิกอันเป็นที่คุ้นตา เรียกว่าถ้าพูดถึงโมเดลคลาสสิกของรถบรรทุกขนาดเล็ก ก้ต้องนึกถึงรถบรรทุกตัวนี้ของซูบารุนี่แหละครับ
หลังจากนั้นซูบารุก็ได้พัฒนารถยนต์นั่งโดยสารแบบคอมแพค และเริ่มออกจำหน่าย Subaru 1000 เป็นรถยนต์คอมแพครุ่นแรกที่เริ่มใช้เครื่องยนต์ Boxer ที่เป็นเทคโนโลยีหลักของซูบารุที่มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำเพื่อความเสถียรและการควบคุมรถยนต์ที่ดีขึ้น ทำให้ช่วยเพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่ นอกจากนี้ยังได้พัฒนาภายในห้องโดยสารให้สะดวกสบายมากขึ้น ก่อนที่ในปี 1969 จะออกจำหน่าย Subaru R-2 มาแทนที่รุ่นยอดนิยมอย่าง Subaru 360 โดยมาพร้อมกับสไตล์ที่โฉบเฉี่ยว ห้องโดยสารที่กว้างขึ้น และตอบโจทย์ความตั้งใจในการผลิตรถยนต์ที่นั่งส่วนบุคคลให้โดดเด่นมากยิ่งขึ้น
ซูบารุยังไม่หยุดเท่านั้น แต่ยังพัฒนาเทคโนโลยีต่อเนื่องมาเรื่อยๆ และเริ่มออกจำหน่าย Subaru Leone ซึ่งเป็นรถยนต์เพื่อการพาณิชย์รุ่นแรกของซูบารุที่มีการติดตั้งระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ หรือ SWAD (Subaru Symmetrical All-Wheel Drive) ที่เป็นเทคโนโลยีถ่ายทอดพลังไปยังล้อทั้งสี่เพื่อให้ผู้ขับขี่อุ่นใจในทุกสภาวะถนน ซึ่งเทคโนโลยีขับเคลื่อนสี่ล้อนี้ยังได้ถูกเปิดตัวอีกครั้งพร้อม Subaru Impreza ในปี 1992 และเมื่อ Impreza รุ่นที่สองออกจำหน่าย ก็ไม่ได้มีแค่เทคโนโลยีสี่ล้ออีกต่อไป แต่ได้ขนเอาคุณสมบัติอื่นๆ มาเพิ่มด้วย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์เทอร์โบใหม่ โครงสร้างเสริมแรงทรงวงแหวนใหม่ และพัฒนาระบบความปลอดภัยให้แข็งแรงยิ่งขึ้น
ผู้นำการผลิตยานยนต์ระดับโลก
ซูบารุยิ่งตอบย้ำความแข็งแกร่งให้ไปอีกโดยในปี 1997 ได้เปิดตัว Subaru Forester ที่ผสานสองยีนเด่น ระหว่างยีนจุดแข็งของ SUV ที่มีความเป็นรถยกสูง มีรูปลักษณ์แข็งแกร่ง ที่ช่วยตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่พร้อมตะลุยอย่างสุดเหวี่ยงแบบเท่ๆ กับยีนแห่งความเป็นรถยนต์ที่นั่งส่วนบุคคลที่สามารถเก็บสัมภาระมากมาย และมีที่ไว้สำหรับทุกคนในครอบครัว ทำให้ Subaru Forester กลายเป็นรถยนต์ SUV รุ่นที่ขายดีที่สุดรุ่นหนึ่ง อีกทั้งยังมีชื่อในเรื่องของเทคโนโลยีและความปลอดภัยที่ได้มาตรฐานสากล
ปัจจุบัน ยอดขายรถยนต์ของซูบารุทั่วโลกสูงถึง 1.01 ล้านคัน ไม่ใช่ตัวเลขจากแค่เพียงญี่ปุ่น แต่เป็นยอดขายจากทั่วโลก ซึ่งล่าสุด รถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นแบรนด์นี้ได้ตอกย้ำความเอาจริงเอาจังด้วยการเดินทางมาเปิดโรงงานประกอบรถยนต์แห่งแรกในประเทศไทย และลงทุนในเม็ดเงินกว่า 5,000 ล้านบาท ทำให้ซูบารุสามารถผลิต Subaru Forester ได้มากกว่า 6,000 คัน พร้อมทีมวิศวกรและพนักงานชาวญี่ปุ่นในการควบคุมมาตรฐานการผลิตเพื่อคงไว้ซึ่งมาตรฐานเดียวกับประเทศญี่ปุ่น พร้อมทั้งคงไว้ซึ่งจิตวิญญาณตั้งต้นของซูบารุ
จากการเดินทางดาวลูกไก่ที่แรกเริ่มหมายจะอากาศยานได้ มาสู่รถยนต์ที่นั่งส่วนบุคคล ทั้งยังมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีอันเป็นเอกลักษณ์ อย่างเครื่องยนต์ Boxer, ระบบขับเคลื่อน SWAD มาจนถึงเทคโนโลยีเสริมความปลอดภัยล่าสุดอย่าง Eyesight Driver-Assist ที่ช่วยอำนวยความสะดวกและช่วยเสริมความปลอดภัยเป็นอย่างดี
เชื่อได้ว่าในอนาคต ดาวลูกไก่ 6 ดวงนี้จะเติบโตพร้อมเข้าสู่โลกแห่งยานยนต์ยุคใหม่ แต่สิ่งหนึ่งที่ซูบารุยืนยันว่าจะไม่เปลี่ยนแปลง นั่นคือความมุ่งมั่นในการมอบอัตลักษณ์และเทคโนโลยีอันเป็นเอกลักษณ์ที่มุ่งเน้นประสิทธิภาพและความปลอดภัย เพื่อที่จะเป็นที่ยอมรับในฐานะรถยนต์สำหรับนักขับตัวจริง เช่นเดียวกันกับจิตวิญญาณแรงกล้าเหมือนเมื่อตอนแรกเริ่ม
และนี่คือเรื่องราวของซูบารุ
แน่นอนว่านวัตกรรมก็สำคัญ การตอบโจทย์การใช้งานก็สำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญมากที่สุดคือ “เรื่องราว” เพราะคนเรามักจะจดจำเรื่องเล่าได้ดีกว่า
แล้วแบรนด์ของคุณล่ะครับ มีเรื่องราวว่าอย่างไรบ้าง?