- ทุกปีมีคน 1.25 ล้านคนเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ ซีอีโอของ Waymo จึงเชื่อว่าระบบขับขี่รถยนต์อัตโนมัติเต็มรูปแบบคือทางออกของปัญหา เพราะ 94% ของอุบัติเหตุรถยนต์ในสหรัฐเกิดจากมนุษย์
- Waymo ได้รับการทดสอบบนถนนจริง ทดสอบในสถานการณ์ไม่คาดฝัน รวมถึงได้รับการทอสอบการขับขี่จำลอง และสามารถคาดการณ์สิ่งที่กำลังจะเกิดบนท้องถนนได้เป็นร้อยอย่างในเวลาพร้อมๆกัน
- คนส่วนใหญ่เมื่อซื้อรถมาแล้วไม่ได้ใช้ประโยชน์ของรถยนต์อย่างคุ้มประสิทธิภาพและราคา การเรียกรถที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานในวันนั้นๆจึงคุ้มค่ากว่าและช่วยลดจำนวนรถยนต์ในเมือง
ทุกปีจะมีคน 1.25 ล้านคนเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ ซึ่งตัวเลขนี้เท่ากับเครื่องบิน โบอิ้ง 747 ตกชั่วโมงละ 1 ลำ
ยังไม่นับ 15 ล้านคนที่บาดเจ็บจากอุบัติเหตุเหล่านี้
จอห์น คราฟซิก (John Krafcik) ซีอีโอ ของ Waymo เชื่อว่า ระบบขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบคือทางออกของปัญหา (Waymo เคยเป็นส่วนนึงของกูเกิ้ลตั้งแต่ปี 2009 ก่อนจะแยกตัวออกมาในปี 2016)
ที่ผ่านมาเราจะเห็นรถยนต์ที่ขับเองแต่ยังต้องมีคนขับนั่งอยู่เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้ขับแทนระบบอัตโนมัติได้ แต่ Waymo ต้องการทำมากกว่านั้น
Waymo ต้องการลบมนุษย์ออกจากสมการการขับรถ โดยตัดคำว่า ความผิดพลาดโดยมนุษย์ (human error) ออกไปจากสารบบ
เพราะ 94% ของอุบัติเหตุรถยนต์ในสหรัฐเกิดจากมนุษย์
รถยนต์ของ Waymo ได้รับการทดสอบบนถนนจริงมาแล้ว 5.5 ล้านกิโลเมตร รวมถึงการทดสอบในสถานการณ์ไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดได้บนท้องถนนกว่า 20,000 รูปแบบ ตั้งแต่มีของหล่นใส่รถ ไปจนถึงมีคนกระโดดออกจากกล่องกระดาษเพื่อมาตัดหน้ารถยนต์ รวมไปถึงฝูงไก่ข้ามถนนก็ยังทดสอบมาแล้ว
นอกเหนือ จากนั้น Waymo ยังได้รับการทดสอบการขับขี่จำลองอีกด้วย ในการจำลองนั้น มีการจำลองสถานการณ์ของรถกว่า 25,000 คัน ในสถานการณ์การขับขี่ที่ถ้าทายที่สุดบนท้องถนน
เฉพาะในหนึ่งปีที่ผ่านมา Waymo ได้ทำการวิ่งทดสอบรถยนต์ไปแล้วกว่า 4,000 ล้านกิโลเมตรในการจำลอง สิ่งที่ Waymo เห็นนั้นเหมือนกับที่มนุษย์เห็นตอนขับรถ และเหมือนกับที่มนุษย์ทำคือ เราจะคาดการณ์การว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปรอบตัวเรา เช่น คนจะเดิน รถจะเลี้ยว เป็นต้น ข้อแตกต่างที่ใหญ่มากก็คือ มนุษย์จะสามารถคาดการณ์สิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นได้เพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น ในขณะที่ Waymo จะสามารถคาดการณ์สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้เป็นร้อยๆอย่างพร้อมกัน และนี่คือเหตุผลว่าทำ ระบบขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบ จึงสามารถลดอุบัติเหตุได้จริง
คนส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ของรถยนต์อย่างคุ้มค่า
การมีระบบขับขี่อัตโนมัติจะเปลี่ยนความสัมพันธ์ของเรากับรถยนต์ไปด้วยเช่นกัน เพราะปัจจุบันเราซื้อรถมา เราก็ต้องอยู่กับรถคันนี้ไปหลายปี เช่นเราซื้อ SUV มาเพราะเราอาจจะอยากพาครอบครัวไปเที่ยวป่าเที่ยวเขา แต่เอาจริงๆได้ไปปีละสามวัน ที่เหลือเราต้องเอารถที่สุดแสนกินน้ำมันนี้วิ่งรถติดอยู่บนทางด่วน และขับอยู่คนเดียวอีกต่างหาก นอกจากจะใช้ประสิทธิภาพของรถอย่างไม่เต็มที่แล้ว ยังเป็นการทำลายสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
แถมอัตราการใช้ประโยชน์ของรถยนต์ที่เราซื้อมานั้นยังต่ำมาก เพราะเราใช้มันวิ่ง 5-10% และที่เหลือจอดไว้เฉยๆ นั่นหมายความว่าเราใช้ของที่เราซื้อด้วยราคาแพงรองจากบ้านอย่างไม่คุ้มค่าเลย
รถยนต์ปัจจุบันสำหรับคนส่วนใหญ่ (เน้นว่าสำหรับคนส่วนใหญ่) จึงเป็นของที่ใช้ไม่คุ้ม แถมต้องอยู่กับตัวเลือกที่เลือกมาแล้วไปนานๆ เปลี่ยนบ่อยๆ ตามความต้องการไม่ได้อีกต่างหาก
Waymo จะเข้ามาเปลี่ยนวิธีคิดเรื่องการเดินทางรวมไปถึงการวางผังเมืองของเราไปเลย ถ้าคนสามารถเรียกรถที่ตัวเองต้องการเมื่อไรก็ได้ และเหมาะสมกับความต้องการใช้ในวันนั้นๆ เช่น ถ้าจะไปหลายคนวันนี้อาจเลือกรถตู้ ถ้าจะบุกป่าก็เอา SUV ถ้าต้องการทำงานก็เลือก รถแบบนั่งทำงานได้ ถ้าอยากเดินทางไกลเลือกรถที่เป็นรถนอน ถ้าอยากไปเดทหรูๆก็จะมีรถหรูมารับ เป็นต้น ถ้าเรามีแพลตฟอร์มแบบนี้ เราอาจจะไม่ต้องการเป็นเจ้าของรถอีกแล้วก็ได้
จำนวนรถยนต์ในเมืองก็จะน้อยลง ที่จอดรถก็จะน้อยลง เราจะมีพื้นที่เหลือไปทำสวนสาธารณะ และพื้นที่ส่วนรวม เจ๋งๆอีกเพียบ
โอเค ทั้งหมดฟังดูดีมากเลย แต่ว่าอีกนานแค่ไหนเราถึงจะได้ใช้เทคโนโลยีนี้กันครับ
Waymo มีการทำสำรวจ คน 3000 คนในสหรัฐ คำตอบที่ได้รับคือเร็วที่สุดที่มีคนคาดการณ์กันว่าจะได้ใช้เทคโนโลยีนี้คือปี 2020
ถ้าให้ผมตอบ ผมจะทายปี 2025
จอห์น คราฟซิก เปิดเผยในงาน web summit 2017 ว่าวันนี้ Waymo ที่ไร้มนุษย์นั่งในรถได้ออกวิ่งแล้วบนถนนสาธารณะในรัฐอริโซน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา และจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปใช้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
นี่คือความจริงเกี่ยวกับการ disruption โดยเทคโนโลยีครับ
มันใกล้กว่าที่คุณคิด