ศุกร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2564
สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ที่ผมได้คุยกับคนเยอะมาก หลายคนที่ไม่ได้คุยกันมาเป็นปีๆ ก็มาได้คุยกันช่วงนี้ และมาทุกช่องทางจริงๆ ตั้งแต่โทรศัพท์ ไลน์ ไปจนถึงเจอหน้ากัน
รวมถึงโพสต์ของเพื่อนหลายคนของผมใน Social Media ด้วย
เกือบทุกคนที่เจอมีบทสนทนาอยู่เรื่องเดียวจริงๆ ครับ
ใช่ครับ “Bitkub”
บิ๊กดีลที่ SCBS เข้าซื้อธุรกิจ Exchange ของ Bitkub เป็นเรื่องที่ใหญ่มากจริงๆ ไม่ใช่แค่จำนวนเงิน แต่มันหมายถึงความเชื่อหลายอย่างเกี่ยวกับการทำธุรกิจที่ต้องถูกคิดใหม่จริงๆ
ในบทความนี้ผมจะไม่พูดถึงผลกระทบทั้งด้านบวกและลบของดีลนี้ต่อ Stakeholders ทั้งหลาย เพราะมีคนวิเคราะห์ไปเยอะแล้ว
วันนี้ที่อยากพูดถึงคือสิ่งที่ส่งผลต่อผู้คนที่ผมพูดคุยด้วย ซึ่งบางคนก็เกี่ยวกับดีลนี้ บางคนก็ไม่เกี่ยว แต่มันมีสิ่งที่น่าสนใจมากๆ เกิดขึ้น
เอาเรื่องแรกก่อน ทุกคนรวมถึงตัวผมเองด้วย รู้สึกยินดีกับคุณท๊อป รวมถึงหุ้นส่วนและทีมงานมากๆ เหตุผลเพราะว่าคุณท๊อปเชื่อเรื่องนี้จริงๆ เชื่อตั้งแต่สมัยที่คนคิดว่า Bitcoin เป็นแชร์ลูกโซ่อยู่เลย และไม่ได้แค่เชื่ออย่างเดียว แต่ลงมือทำแบบต้องเรียกว่าคนค้านเพียบอีกด้วย
ดังนั้นกรณี Bitkub แสดงให้เห็นว่า Right People, Right Process และ Right Timing สำคัญต่อความสำเร็จในสเกลนี้จริงๆ ครับ
เรื่องที่สองคือสิ่งที่มันทำให้ผู้คนที่ผมพูดคุยด้วยต้องเริ่มคิด ต้องบอกก่อนว่านี่ไม่ใช่ข้อมูลเชิงสถิติอะไร แต่เป็นการรวบรวมจากการสังเกตของผมเอง ทันที่รู้เรื่องนี้ โทรศัพท์สายแรกที่ผมโทรหาคือเพื่อนรักของผมเอง
ประโยคแรกที่ผมพูดคือ “มึงว่าพวกเราจะตกยุคไหมวะ?”
เพื่อนผมคนนี้ที่อายุ 40 กว่าๆ เท่ากันตอบว่า “กูกำลังจะพูดประโยคเดียวกันเลย” และหลังจากนั้นก็ได้คุยกันอีกยาว
อย่างที่เกริ่นไปในตอนต้นครับว่าจากดีลของ Bitkub นี้มันเหมือนกับ Wake Up Call ให้หลายๆ คนจริงๆ แต่จะ Wake Up แล้วไปไหน ผมขอแบ่งเป็นสามกลุ่มใหญ่ๆ แล้วกันครับ
1. กลุ่มเตรียมทำ Big Change
กลุ่มนี้ได้รับแรงบันดาลใจอันแรงกล้า หรือได้รับความกดดันอันแรงกล้าก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับ แยกยากอยู่ แต่เอาเป็นว่า รู้แหละจะต้องเปลี่ยน ซึ่งการเปลี่ยนก็มีหลายรูปแบบ ตั้งแต่การยกเครื่ององค์กรทั้งหมด อะไรไม่จำเป็นก็ตัดทิ้ง อะไรที่จำเป็นก็หาเข้ามา มองหาธุรกิจใหม่ๆ มองหาพาร์ทเนอร์ใหม่ๆ มองหาคนใหม่ๆ หรือทำธุรกิจใหม่ที่เกาะกับเทรนด์ของโลก ฯลฯ
ความเหมือนกันของกลุ่มนี้คือ รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เหมือนเป็นรูปเป็นร่างแล้วมันจะเป็น Big Change ไม่ใช่ Minor Change เพราะรู้แหละว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่มันจะหมดอายุ หรือจะบอกว่า ‘ตกยุค’ เหมือนที่ผมเกริ่นไปในตอนแรกก็ได้
แต่การทำแบบนี้ยากมาก มีอุปสรรคเพียบ และมีโอกาสล้มเหลวสูง
อย่างไรก็ดีผมเลือกอยู่กลุ่มนี้นะ เพราะความฝันสูงสุดขององค์กรมันต้องมาสายนี้แหละครับ ไม่มีทางเลือกอื่น
สิ่งที่น่าสนใจคือคนกลุ่มนี้พูดตรงกันว่าจะไม่พลาด The Next Big Thing อีกแล้ว
The Next Big Thing คืออะไร?
ยกตัวอย่าง Bitcoin ก็ได้ครับ เมื่อ 11 ปีที่แล้ว ราคาอยู่ที่ $0.08 ซึ่งราคานี้ก็ขึ้นมาจากตอนเริ่มเทรดเป็น 100 เท่าแล้วนะครับ วันนี้ Bitcoin ราคา $61,000 เพิ่มขึ้นมา 76,250,000% ใน 11 ปี นี่แหละครับที่เรียกว่า The Next Big Thing
แล้ว Next Big Thing ล่ะ?
จะว่าไปมันมีเยอะมากครับ แต่ถ้าเอาที่คนพูดถึงเยอะๆ ช่วงนี้ก็น่าจะเป็นช่วง Metaverse
ลักษณะของมันคล้าย Bitcoin หรือ Cryptocurrency เมื่อ 10 ปีก่อนมาก คือตอนนั้นคนสนใจมีหยิบมือเดียว ตลอดเส้นทางการเติบโตก็มีช่วงลุ่มๆ ดอนๆ ช่วงนิ่งๆ แน่นอน มีคนเข้า มีคนออก แต่คนที่เชื่อและอยู่ก็จะเป็น Big Win แบบที่เราเห็นนี่แหละครับ อย่างในกรณีของ Bitkub นี่เขาไม่ได้ซื้อแค่เหรียญแต่เขาทำ Exchange เมื่อตลาดบูม จึงไม่แปลกที่เขาเก็บผลประโยชน์ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยที่สุด
หลายคนเชื่อว่า Metaverse ก็จะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน แม้ว่าวันนี้ภาพจะยังไม่ชัด ยังไม่แน่ใจว่ามันจะไปได้ขนาดไหน แต่หลายคนบอกว่า รอบนี้ต้องไม่พลาดแล้ว
จริงๆ อะไรแบบนี้ยังมีอีกหลายอย่างนะครับ อันนี้แค่ยก Metaverse ให้เห็นภาพเท่านั้นเอง
แต่ทั้งหมดมีความตั้งใจเดียวกันคือไม่อยากต้องมาพูดทีหลังว่า “รู้งี้นะ…..”
2. กลุ่มโฟกัสกับงานเดิมต่อไป เหนื่อยจะตามเทคโนโลยีอะไรมากมาย
ยกตัวอย่างกรณีหนึ่งแล้วกันครับ
ผมได้คุยกับคนในธุรกิจอาหาร เขาบอกว่าทุกวันนี้ร้านก็ขายได้ดีทั้งหน้าร้านและดิลิเวอรีเขาก็มีความสุขกับงานดี ได้มีเวลาว่างในการทำสิ่งที่ชอบด้วย ระบบการทำงานของบริษัทก็ดีมาก ทุกอย่างดูเรียบร้อยดี และในเมื่อยังไงทุกคนก็ต้องกิน ดังนั้นก็ไม่รู้จะเหนื่อยไปทำอะไรเพิ่มเยอะแยะทำไม
เงินเหลือก็เอาไปซื้อหุ้น ซื้อกองทุนอะไรไว้ เลือกดีๆ ก็ตามธีมของโลกได้เหมือนกัน
สิ่งที่เขาบอกผมก็น่าสนใจ เขาบอกว่าเราสามารถอยู่ในธุรกิจที่เกาะธีมแทคโนโลยีได้แบบสบายๆ ด้วยการซื้อหุ้น เดี๋ยวนี้การลงทุนในต่างประเทศง่ายจะตาย ไม่ต้องมาทำเองให้เหนื่อยแรง
หลายคนก็บอกว่า จะทำงานแบบที่ทำอยู่นี่แหละ แล้วเทคโนโลยีอะไรที่มัน Mass Adoption จริงๆ เดี๋ยวค่อยเอามาใช้แล้วกัน เอาเท่าที่จำเป็น
3. กลุ่มแบบ ‘ไม่เอาแล้วโว้ย’
หลายคนที่ผมได้คุยบอกว่าซื้อที่ต่างจังหวัดไว้แล้ว ตอนนี้ก็พอมีเงินเก็บ บางคนก็ลงทุนอะไรหลายอย่างได้ผลตอบแทนพอสมควร และตอนนี้กำลัง “รอเวลา” ที่จะย้ายที่อยู่อย่างถาวร จริงๆ คนกลุ่มนี้คิดมานานแล้วแหละว่าเหนื่อยเหลือเกิน เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า
การรอเวลาของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน บางคนรอลูกเรียนจบ บางคนรอได้เงินเยอะกว่านี้อีกสักนิด บางคนรอ Exit ธุรกิจที่ทำอยู่ ฯลฯ
แต่สิ่งที่คล้ายๆ กันคือ ใครจะทำ Metaverse จะทำอะไรตามสบายเลยจ้า ชีวิตมันสั้นขอใช้ชีวิตอย่างมีความสุขดีกว่า
บางคนก็ไม่เอาโว้ย แต่ไม่ต้องถึงกับย้ายถิ่นฐานก็มี แค่รู้สึกว่าอยากจะหลุดออกจากความรู้สึกว่าต้องวิ่งแข่งตลอดเวลา อาจจะทำอะไรสงบๆ อยู่ในพื้นที่ของตัวเอง โดยพยายามจะข้องแวะกับเรื่องใหม่ๆ พวกนี้เท่าที่จำเป็นก็พอ
ผมคงตอบไม่ได้เหมือนกันว่าอะไรคือทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะโจทย์ชีวิตของเราไม่เหมือนกัน ความสุขของเราก็ไม่เหมือนกัน
ใครมีทางเลือกอื่นนอกจากสามข้อนี้ก็มาแชร์กันได้นะครับ
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
#business
ติดตามความเคลื่อนไหวและเนื้อหาน่าสนใจอื่นๆ ได้ที่ https://missiontothemoon.co/