ออกคอลเลคชันใหม่ทีไรก็มีแต่แบบเดิม! เมื่อ Uniqlo คว้าใจลูกค้าผ่านการ ‘ไม่สนใจแฟชัน’

2302

‘ความเรียบง่าย’ คงเป็นคำที่นิยามความเป็น Uniqlo ได้อย่างลงตัว เพราะเมื่อเราเดินเข้าไปในร้านทีไร ก็คงจะเห็นแต่สินค้าเรียบๆ เดิมๆ ที่เคยเห็นมาก่อนหน้านี้แล้ว และคงจะให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากการเดินเข้าร้าน H&M หรือ ZARA ที่เป็นร้านรีเทลคู่แข่งของ Uniqlo 

แต่เคยสงสัยหรือไม่ว่าทำไมร้านที่มีแต่เสื้อผ้าเรียบง่ายถึงขายดิบขายดี จนสามารถก้าวจากร้านสูทธรรมดาๆ ในญี่ปุ่นจนกลายมาเป็นบริษัทรีเทลอันดับ 3 ของโลก ที่มีสาขาอยู่ตามหลายๆ ประเทศทั่วโลก แถมในประเทศไทยเอง เวลาเราเดินผ่านร้าน Uniqlo ทีไร ก็จะเห็นคนเยอะหรือมีคนเดินเข้าอยู่เรื่อยๆ ตลอด เรียกได้ว่าเป็นแบรนด์ขวัญใจของใครหลายๆ คนเลยล่ะ! 

Advertisements

ซึ่งทาง Uniqlo ก็มีแนวทางการบริหารงานอย่างหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ สำหรับบริษัทที่ผลิตเสื้อผ้า คือการที่ Uniqlo นั้น ‘ไม่สนใจแฟชัน’ หลายๆ คนอาจจะเริ่มสงสัยแล้วว่าการไม่สนใจแฟชันของ Uniqlo นั้นคืออะไรและมันจะเป็นไปได้จริงหรือ?

‘ไม่สนใจแฟชัน’ จุดศูนย์กลางของการเป็น Uniqlo

จริงๆ ถ้าหากจะพูดว่าไม่สนใจแฟชันเลยก็คงไม่ถูกนัก แต่สิ่งนี้ก็เป็นแนวทางที่ Uniqlo ยึดมั่นมาตลอดคือ ค่อนข้างจะไม่สนใจแฟชันหรือเทรนด์ที่เป็นไปใน ณ ขณะนั้น ทำให้สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ Uniqlo แตกต่างจากแบรนด์รีเทลอื่นๆ อย่าง H&M และ ZARA ที่จะโฟกัสไปที่การผลิตสินค้าแฟชั่นใหม่ๆ ที่กำลังเป็นเทรนด์อยู่ให้ออกมาได้เร็วที่สุด

แต่สำหรับ Uniqlo แล้ว การผลิตสินค้าตามเทรนด์อาจจะไม่ใช่เป้าหมายหลัก แต่คือการผลิตเสื้อผ้า ‘LifeWear’ ตามสโลแกนของแบรนด์ โดยเป้าหมายคือการที่ผลิตเสื้อผ้าเพื่อตอบรับความต้องการของผู้ใช้ด้านไลฟ์สไตล์

ซึ่งครั้งหนึ่ง Uniqlo ก็เคยถูกมองว่าเป็นแบรนด์เสื้อผ้าราคาถูกมาก่อน แต่ในปี 2004 Uniqlo ได้ประกาศให้คำมั่นผ่าน Global Quality Declaration ว่าจะหยุดผลิตสินค้าราคาถูกและสินค้าที่มีคุณภาพต่ำ ทำให้คนเริ่มเปลี่ยนมุมมองของ Uniqlo จากการเป็นแบรนด์ Fast Fashion ทั่วๆ ไป มาเป็นแบรนด์ที่ผลิตเสื้อผ้า ‘ที่มีคุณภาพและราคาจับต้องได้’ แทน

‘Made for All’ ผลิตเสื้อผ้าเพื่อทุกคน

ก่อนที่สโลแกนจะมาเป็น LifeWear อย่างเช่นทุกวันนี้ Uniqlo เคยมีสโลแกนหลักอย่างคำว่า ‘Made for All’ มาก่อน ซึ่งก็แปลเป็นความหมายตรงตัวว่า ‘ผลิตขึ้นมาเพื่อทุกคน’ ซึ่งนี่ก็อาจจะต่อยอดมาจากการที่ Uniqlo ไม่ได้ไล่ล่าตามเทรนด์แฟชันอย่างดุเดือดเหมือนอย่างแบรนด์คู่แข่ง ทำให้สินค้าที่ออกมานั้นมีความหลากหลายและเข้าได้กับทุกคน ทุกวัย ทุกชนชาติ ไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตามก็สามารถที่จะใส่เสื้อของ Uniqlo ได้ ต่างจากแบรนด์อย่าง H&M หรือ ZARA ที่จะเป็นเสื้อผ้าที่มีดีไซน์ที่มีความเฉพาะตัว หรือมีความเป็นแฟชันสูง เมื่อเวลาผ่านไปเทรนด์เปลี่ยน เราก็อาจจะไม่ได้มีโอกาสหยิบมาใส่บ่อยๆ 

ซึ่งนี่ก็อาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมสินค้าของ Uniqlo นั้นมีความเรียบง่าย และสามารถหยิบจับมาใส่มาแมตช์ได้หลากหลายโอกาส อย่างที่เรามักจะเห็นว่าขายดีอยู่ตลอดก็คงจะเป็นเสื้อยืด เสื้อกันหนาว หรือกางเกงที่เป็นแบบเรียบๆ ไม่มีลายอะไร ซึ่งเป็นจุดเด่นของ Uniqlo เองด้วย

เมื่อถามใครต่อใครว่าทำไมถึงซื้อสินค้าจาก Uniqlo คำตอบก็จะเป็นประมาณเดียวกัน คือ มีความมินิมอล ใส่ง่าย ใส่ได้ทุกวัน แถมบางคนก็พูดเป็นทำนองว่า พอหันกลับไปมองตู้เสื้อผ้าของตัวเองอีกครั้ง ก็พบว่ามีเสื้อผ้าจาก Uniqlo เกินครึ่งตู้แล้ว ซึ่งก็ถือว่าสโลแกนของ Uniqlo ไม่ได้เกิดขึ้นมาเพื่อขายฝัน แต่สามารถทำได้จริงตามอย่างที่บอกเลยว่า ‘Made for All’ และเป็น ‘LifeWear’ อย่างแท้จริง

ผสาน ‘นวัตกรรม’ เข้ากับเสื้อผ้า

อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ Uniqlo โดดเด่นและแตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ คือการผสานนวัตกรรมเข้ากับผ้า ทำให้เราเห็นหลากหลายสินค้าที่ออกมาในรูปแบบผ้าที่พิเศษ อย่าง HeatTech ก็เป็นหนึ่งในสินค้านวัตกรรมของ Uniqlo ที่มีการพัฒนาร่วมกับ Toray Industries ซึ่งเป็นบริษัทเคมีในญี่ปุ่น โดยจะเปลี่ยนความชื้นให้เป็นความร้อน และมีรูระบายอากาศในผ้าเพื่อกักเก็บความร้อน พร้อมยังมีความหนาของผ้าที่ค่อนข้างบาง ทำให้ลูกค้าสวมใส่ได้ง่ายและสะดวกกว่า HeatTech แบบอื่นๆ

นอกจากตัว HeatTech แล้ว Uniqlo ยังได้ผลิตสินค้าประเภท AIRism ขึ้นมา ที่ทำจากเนื้อผ้าพิเศษที่มีคุณสมบัติในการดูดซับและระบายเหงื่อได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ตัวของผู้สวมใส่ไม่เหนียวเหนอะหนะเวลาเจออากาศร้อน รวมถึงยังได้พัฒนาตัวเทคโนโลยี UV Cut ซึ่งเป็นวัสดุที่ช่วยป้องกันแสง UV จากผู้สวมใส่ได้มากถึง 90% เลยทีเดียว 

Advertisements

นอกจากนี้ เราคงรู้กันดีว่าในปี 2020 โลกของเราได้เผชิญกับโรคระบาด COVID-19 ทำให้การใส่หน้ากากอนามัยกลายเป็นเรื่องจำเป็น ปกติแล้วการใส่หน้ากากอนามัยก็คงจะทำให้เรารู้สึกอึดอัด โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีอากาศร้อน ทาง Uniqlo จึงใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมที่ทางแบรนด์มีคือการนำผ้า AIRism มาใช้เป็นวัสดุในการทำหน้ากากอนามัย ทำให้การใส่หน้ากากอนามัยไม่รู้สึกอึดอัดหรือรู้สึกร้อนเหมือนกับการใส่หน้ากากอนามัยรูปแบบอื่นๆ 

ทำให้สินค้าของ Uniqlo เป็นมากกว่าเสื้อ กางเกง หรือหน้ากากอนามัยธรรมดาๆ ที่ได้แฝงความต้องการทางด้านไลฟ์สไตล์เข้าไปด้วย โดยเฉพาะด้านของการที่คนเราต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศเย็นหรือร้อน ทำให้นวัตกรรมของ Uniqlo ตอบโจทย์ความต้องการของผู้คนได้อย่างตรงจุด 

สร้างสไตล์ใหม่ๆ ผ่าน ‘Collaboration’

จากสโลแกน Made for All ทาง Uniqlo มีความพยายามที่จะสร้างสรรค์สไตล์ที่ตอบรับความต้องการของผู้สวมใส่แต่ละคน การ Collaboration ต่างๆ จึงถือกำเนิดขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าทางแบรนด์จะมีการร่วมมือกับแบรนด์อื่นๆ ในการออกคอลเลกชัน แต่จะสังเกตเห็นได้ว่าสไตล์ที่ออกมาก็ยังคงความเป็น Uniqlo ไว้อยู่ 

ไม่ว่าจะเป็นการร่วมมือกับ Lemaire ในการออกคอลเลกชัน “Uniqlo U” ที่ยังคงความเรียบง่ายไว้เป็นอย่างดี หรือแม้แต่การร่วมมือกับแบรนด์ Marimekko ในการออกคอลเลกชัน “Uniqlo x Marimekko” ที่สามารถคงลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์ของ Marimekko และคงสไตล์ที่เรียบง่ายของ Uniqlo ได้อย่างลงตัว

ดังนั้น การออกสินค้ารูปแบบที่ดูเหมือนจะเดิมๆ ของ Uniqlo ไม่ใช่ข้อเสียแต่อย่างใด แต่เป็นเอกลักษณ์และความตั้งใจของทางแบรนด์ที่ต้องการที่จะสร้างสรรค์เสื้อผ้าที่เรียบง่าย ใส่ง่าย ใส่ได้ทุกวัน และยังเหมาะกับทุกคน พร้อมตอบรับความต้องการทางไลฟ์สไตล์ด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ ทำให้ไม่ใช่แค่การสวมใส่เสื้อผ้าธรรมดาๆ แต่เป็นการสวมใส่เสื้อผ้าที่ช่วยยกระดับการใช้ชีวิตของลูกค้าให้ดีขึ้นอีกด้วย 

ทำให้ถึงแม้ว่า Uniqlo จะไม่ได้เป็นแบรนด์ที่นำเรื่องแฟชันเหมือนแบรนด์รีเทลอื่นๆ แต่ก็สามารถที่จะมัดใจลูกค้าหลายๆ คนไว้ได้ไม่แพ้กัน


อ้างอิง

https://bit.ly/3tFOpte
https://bit.ly/3tCbddH
https://bit.ly/3z8hXRI

#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
#business

ติดตามความเคลื่อนไหวและเนื้อหาน่าสนใจอื่นๆ ได้ที่ https://missiontothemoon.co/

Advertisements