บริษัทใหญ่ หรือกลุ่มธุรกิจที่มีชื่อเสียงและมีมูลค่าสูงระดับโลกล้วนมีจุดเริ่มต้นมา และมีเรื่องราวของเส้นทางธุรกิจยาวนานมาหลายทศวรรษ ยิ่งสามารถเอาชนะช่วงวิกฤต แล้วกลับมายืนหยัดได้อย่างมั่นคงเมื่อไร ก็จะยิ่งเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จและเอาชนะบริษัทคู่แข่งได้มากขึ้นเท่านั้น
แต่เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป ทั้งเทคโนโลยี นวัตกรรม สภาพเศรษฐกิจ รวมถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคก็เปลี่ยนไปด้วย นอกจากนี้ปัจจัยภายนอกเหล่านี้ยังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จนทำให้แม้แต่บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกก็ยังต้องร้อนๆ หนาวๆ กันไปบ้าง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ายุคนี้เทคโนโลยี นวัตกรรม และความสามารถในการเข้าถึงองค์ความรู้จะเอื้อให้กับนักธุรกิจมือใหม่ก็จริง แต่ความผันผวนที่เกิดขึ้น รวมไปถึงการต้องต่อสู้กับคู่แข่งในตลาดเดียวกันก็ทำให้ผู้ประกอบการทั้งรายเล็กและรายใหญ่ต่างก็ดิ้นรนอย่างมากที่จำขยับขยายธุรกิจของตนให้เติบโตกว่าเดิมให้ได้ เพราะเพียงแค่การทำให้ธุรกิจ ‘อยู่รอด’ ต่อไปได้อาจจะยังไม่ใช่ทางออกที่มั่นคงเท่าไรนัก
ไม่ได้มีเพียงธุรกิจเล็กๆ เท่านั้นที่ต้องดิ้นรนและต่อสู้ท่ามกลางสมรภูมิธุรกิจอันดุเดือด เพราะแม้แต่บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกเองก็ต้องหาวิธีเอาชนะทั้งความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ กระแสและความไม่แน่นอนจากผู้บริโภค รวมถึงเอาชนะคู่แข่งที่แกร่งกว่า ซึ่งเราพบเห็นได้ค่อนข้างบ่อยในข่าวสารโลกธุรกิจหลังๆ มานี้
มาดูกันว่าในยุคศตวรรษที่ 21 ซึ่งเต็มไปด้วยความผันผวนจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกองค์กรอย่างนี้ บริษัทใหญ่ระดับโลกรับมือเพื่อขยับขยายอาณาจักรธุรกิจของตัวเองอย่างไร
3 มีเดียยักษ์ใหญ่ผนึกกำลัง เอาชนะวงการสตรีมมิง
ช่วงหลังมานี้เรามักจะเห็นข่าวการควบรวมกิจการในวงการสตรีมมิงกันบ่อยๆ อย่างในปี 2021 ที่ผ่านมาก็ได้เห็นการควบรวมของสองบริษัทคือ WarnerMedia และ Discovery กลายเป็นบริษัทใหม่ชื่อ Warner Bros. Discovery (WBD) และให้บริการคอนเทนต์ผ่านสตรีมมิง HBO Max และ Discovery Plus ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มภายใต้ WBD โดยโลโก้ของบริษัทใหม่จะยังคงใช้สัญลักษณ์ WB ซึ่งเป็นโลโก้เดิมของ Warner Bros. ที่ทุกคนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
ผลลัพธ์ของการควบรวมกันในครั้งนี้ก็ถือว่าคุ้มค่า เพราะ WBD กลายเป็นบริษัทสื่อรายใหญ่อันดับสองของสหรัฐฯ โดยเป็นรองแค่ Disney เพียงบริษัทเดียวเท่านั้น ความสำเร็จในครั้งนี้กลายเป็นโอกาสใหม่ที่ทำให้หลายธุรกิจเปลี่ยนมาเป็นคู่พันธมิตรกันเพื่อเอาชนะคู่แข่งที่ใหญ่และแข็งแกร่งกว่ามาก
นอกจากนี้ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาไม่นานนี้ Disney ซึ่งเป็นสตรีมมิงเจ้าใหญ่ที่มีฐานคนชมเป็นเด็กและครอบครัวก็ประกาศว่าจะเปิดตัวบริการสตรีมมิงกีฬา โดยเป็นการร่วมมือกันกับอีกสองบริษัทใหญ่ในวงการเดียวกันอย่าง Fox และ Warner Bros. ซึ่งมีคอนเทนต์กีฬาที่หลากหลาย รวมทั้งลีกกีฬา 4 ลีกของ สหรัฐฯ ได้แก่ อเมริกันฟุตบอล (NFL) บาสเกตบอล (NBA) ฮอกกี้ (NHL) และเบสบอล (MLB) ให้บริการอยู่ในนั้นด้วย
โดยสตรีมมิงตัวใหม่ที่กำลังจะเปิดตัวในฤดูใบไม้ร่วงของปีนี้ที่กล่าวมานั้นเป็นการลงทุนโดยที่บริษัททั้งสามเป็นเจ้าของเท่ากัน และดึงคอนเทนต์กีฬาที่ถูกลิขสิทธิ์ของตัวเองมารวมไว้ เพื่อเพิ่มทางเลือกที่หลากหลายให้กับคอกีฬา และเพื่อขยายกลุ่มคนดูที่มีอายุน้อยด้วย
เนื่องจากก่อนหน้านี้การรับชมกีฬาสดยังเป็นแบบถ่ายทอดทางโทรทัศน์ผ่านเคเบิลหรือฟรีทีวี และเป็นลักษณะผูกขาด ทำให้คอกีฬามีตัวเลือกน้อย และจำเป็นที่จะต้องดูสดในเวลาแข่งขัน ดังนั้นการปรับให้สามารถฉายผ่านแอปฯ สตรีมมิงได้ก็จะช่วยให้ผู้ชมรับชมกีฬาที่หลากหลายได้สะดวกกว่าเดิมทุกที่ทุกเวลา
‘Joint Venture’ อีกหนึ่งทางออกของธุรกิจยุคใหม่
ดังสำนวนที่ว่า “หนึ่งคนหัวหาย สองคนเพื่อนตาย” การทำธุรกิจเองก็เป็นอย่างนั้น เราจึงมักเห็นหลายธุรกิจที่อยู่ในสายเดียวกันต่างต้องดิ้นรนแย่งทรัพยากรซึ่งมีจำกัดมาเป็นของตัวเองให้ได้มากที่สุด รวมถึงการแข่งขันกันเองระหว่างพนักงานภายในองค์กรเพื่อผลักดันประสิทธิภาพที่สูงสุดอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม การทำธุรกิจแบบตัวใครตัวมันในลักษณะนี้อาจไม่ตอบโจทย์กับโลกยุคใหม่อีกแล้ว กลยุทธ์การสร้างพันธมิตรทางธุรกิจจึงเป็นอีกหนึ่งทางออกที่ทำให้เราสามารถเปลี่ยนธุรกิจขนาดเดิมให้กลายเป็นธุรกิจที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น และต่อยอดได้มากกว่าเดิม และหนึ่งในกลยุทธ์พันธมิตรทางธุรกิจที่มักพบเห็นได้บ่อยในช่วงนี้ก็คือ ‘กิจการร่วมค้า’ หรือ Joint Venture นั่นเอง
กิจการร่วมค้า (Joint Venture: JV) หมายถึง การร่วมธุรกิจตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป โดยที่ฝ่ายหนึ่งต้องเป็นนิติบุคคล เช่น การร่วมค้าระหว่างบริษัทกับบริษัท หรือการร่วมค้าระหว่างบริษัทกับบุคคลธรรมดา นอกจากนี้กิจการร่วมค้ายังเป็นการทำสัญญาเพื่อลงทุนในทรัพย์สิน แรงงาน เทคโนโลยี ที่ดิน ฯลฯ ร่วมกันอีกด้วย
กล่าวคือ ทั้งสองฝ่ายจะสามารถแบ่งปันทรัพยากรต่างๆ ซึ่งกันและกัน แล้วยังได้รับผลประโยชน์จากกิจการนั้นๆ เหมือนกันอีกด้วย โดยกิจการร่วมค้าอาจทำได้ด้วยการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทใหม่ หรือจะทำสัญญาร่วมกันเป็นงานๆ ไปก็ได้ อย่างไรก็ตาม การทำสัญญาเป็นชิ้นงานแบบนี้จะระบุขอบเขตของงาน ระยะเวลาในการทำงาน รวมถึงการแบ่งผลประโยชน์เอาไว้อย่างชัดเจน
ข้อดีของการทำกิจการร่วมค้าคือเป็นการสร้างความร่วมมือกันของแต่ละองค์กร ซึ่งจะช่วยให้สามารถดำเนินการและขยายธุรกิจต่อไปได้ โดยมีกฎหมายคุ้มครองตลอดระยะสัญญา ทั้งนี้ทั้งนั้น ทุกฝ่ายที่เป็นคู่สัญญากันก็ยังต้องรับความเสี่ยงของธุรกิจอย่างเท่ากันด้วย
แม้ว่าตอนนี้ทั้งสามบริษัทจะยังไม่เปิดเผยรายละเอียดของบริการสตรีมมิงกีฬาตัวใหม่นี้ และแม้ว่าการเพิ่มคอนเทนต์กีฬาในสตรีมมิงจะซับซ้อนขึ้น เพราะต้องมีระบบสมัครสมาชิก เหมือนสตรีมมิงอย่าง Netflix, Disney+ Hotstar ฯลฯ
แต่ถึงอย่างนั้นการลงทุนร่วมกันด้วยกลยุทธ์ Joint Venture ของ Disney, Fox และ Warner Bros. ก็อาจจะเป็นก้าวแรกของการปฏิวัติวงการสตรีมมิงให้คึกคักไปด้วยแฟนกีฬา และสร้างมูลค่าให้บริษัทสูงกว่าเดิมหลายเท่าก็เป็นได้
อ้างอิง
– How to build a global business empire in the 21st century : The Economist – https://econ.st/4bpSdUU
– Disney, Fox and Warner Bros. Discovery Are Creating a New Sports Streaming Service : Eli Blumenthal, CNET – https://cnet.co/44LlG8U
– WarnerMedia, Discovery complete merger, become Warner Bros. Discovery : CNBC – https://bit.ly/3UMh2Tw
– กิจการร่วมค้า (Joint Venture) และ กิจการค้าร่วม (Consortium) แตกต่างกันอย่างไร : ผศ.ดร.ปาณัสม์กัญ เจิมพิพัฒน์, DataOne Asia – https://bit.ly/3yvywMv
#technology
#business
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
