วงการรถยนต์กำลังก้าวสู่ EV Car (รถยนต์ไฟฟ้า) แบบเต็มรูปแบบ? เมื่อแบรนด์ต่างเน้นย้ำความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

543
EV Car mini

“อุตสาหกรรมยานยนต์” ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานับว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด บทบาทของเทคโนโลยีที่เพิ่มมากขึ้นทำให้เทรนด์ใหม่ๆ ได้ถือกำเนิดเกิดขึ้นมา ที่ทำให้รถยนต์นั้นก้าวหน้ามากขึ้น ล้ำมากขึ้น และยังปลอดภัยมากขึ้นอีกด้วย ซึ่งเทรนด์ที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมยานยนต์นั้นมีอยู่หลักๆ 3 เทรนด์ด้วยกัน

โดยเทรนด์แรกที่เป็นที่พูดถึงกันอย่างมากในมุมมองของ “อนาคตของรถยนต์” ว่าจะเป็นไปอย่างไร คือเทรนด์ของ “Connected Car” ซึ่งเป็นการที่รถของเราสามารถสื่อสารได้แบบ Vehicle to Everything มีศักยภาพที่จะแชร์ข้อมูลกับรถคันอื่นๆ หรือพวกโครงสร้างพื้นฐานบนท้องถนน ทำให้เรารู้สภาพการจราจรโดยรวมว่าเป็นไปอย่างไร การจราจรตรงนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ถนนตรงนั้นปิดซ่อมอยู่หรือไม่ ผ่านการแชร์ข้อมูลกันของรถยนต์ รวมถึงยังมีการใช้เซนเซอร์ตรวจจับคนเดินบนท้องถนน ที่ช่วยเสริมการขับขี่นั้นปลอดภัยมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

เทรนด์ที่สองคงหนีไม่พ้นเทรนด์ของรถยนต์ไร้คนขับ หรือ “Autonomous Vehicle” ที่ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เราเริ่มที่จะเห็นรถประเภทนี้บนท้องถนนเยอะขึ้นอย่างมากทั้งในต่างประเทศและในประเทศไทยเอง ทางฝั่งของรถหลายๆ แบรนด์ก็เริ่มที่จะกระโดดเข้ามาในตลาดของรถยนต์ไร้คนขับมากยิ่งขึ้น ทำให้เป็นที่น่าจับตามองว่าในอนาคตเทคโนโลยีทางด้านนี้จะสามารถพัฒนาไปอย่างไร ซึ่งก็ไม่แน่ว่าในวันหนึ่งเราอาจจะถึงจุดที่ไม่ต้องขับรถกันแล้วก็ได้

Advertisements

แต่อีกกระแสหนึ่งที่ในปีนี้ หลายๆ คนน่าจะเห็นการเติบโตได้อย่างชัดเจน จากงาน The 43th Bangkok International Motor Show ที่ผ่านมาก็ได้แสดงให้เห็นถึงการเน้นย้ำถึงเทรนด์นี้มากขึ้นจากทั้งทางฝั่งของแบรนด์ผู้ผลิตและฝั่งของผู้ซื้อเอง ซึ่งนั่นก็คือเทรนด์ EV (Electric Vehicle) หรือรถยนต์ไฟฟ้า

โดย “Sustainability” หรือ “ความยั่งยืน” กลายเป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นในหลายๆ อุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมการผลิต อุตสาหกรรมแฟชันแฟชั่น และที่จะเห็นได้ชัดที่สุด ก็คงเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เรากำลังพูดถึงกัน

ฝั่งของแบรนด์ต่างๆ และฝั่งของรัฐบาลแต่ละประเทศเองก็มีการให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น บริษัทรถยนต์ต่างๆ ก็ได้ปรับและเปลี่ยนมาใช้วิธีที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อโลก ทำให้ตอนนี้ ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ยังไงๆ เราก็ต้องเจอ “รถ EV ” และถ้าหากถามว่าอุตสาหกรรมรถ EV เติบโตขนาดไหนแล้ว ก็ต้องบอกว่า ในปี 2021 รถ EV นั้นถูกขายไปทั่วโลกกว่า 6.75 ล้านคัน นับว่าเติบโตจากปี 2020 กว่า 108% เลยทีเดียว

โดยกลุ่มประเทศที่มีอัตราการซื้อรถ EV มากที่สุดคือประเทศจีนและกลุ่มประเทศยุโรป ซึ่งนับเป็น 85% เลยทีเดียวจากประเทศทั่วโลก โดยจาก 6.75 ล้านคัน ประเทศจีนนั้นซื้อรถ EV ไปแล้วกว่า 3.2 ล้านคัน ส่วนยุโรปซื้อไปแล้วกว่า 2.3 ล้านคัน

ในส่วนของประเทศไทย จากข้อมูลของกรมขนส่งทางบก พบว่าในปีที่ผ่านมามีการจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า 100% อยู่ที่ 3,900 กว่าคัน ในส่วนของรถยนต์ไฟฟ้าลูกผสมอย่าง PHEV หรือ HEV จะอยู่ที่ราว 210,000 คัน ซึ่งจากข้อมูลนี้ก็ทำให้เราได้เห็นว่าเทรนด์ของรถ EV ทั้งไทยและทั่วโลก มีการเติบโตอย่างมาก และในอนาคตก็มีแนวโน้มว่าจะเติบโตขึ้นไปอีก ทำให้เกิดคำถามว่าแล้วรถ EV นั้นมีข้อดีอย่างไรทำไมหลายๆ คนถึงตัดสินใจหันมาใช้รถ EV กันมากขึ้น

ส่วนหนึ่งที่ทำให้อุตสาหกรรมรถ EV เติบโตอย่างรวดเร็วเป็นเพราะ “การสนับสนุนจากรัฐ” ที่ออกนโยบายมากระตุ้นให้คนซื้อรถ EV กันมากขึ้น อย่างทางรัฐบาลจีน มีการให้เงินสนับสนุนการซื้อรถไฟฟ้า และยังมีการเตรียมความพร้อมทางด้านโครงสร้างพื้นฐานอย่างการจัดตั้งแท่นชาร์จไฟฟ้าที่มากขึ้นทั้งในเมืองและพื้นที่นอกเมือง ส่วนทางด้านประเทศไทย ทางรัฐบาลก็มีนโยบายผลักดันการซื้อรถ EV เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการได้รับส่วนลดอากร ลดภาษีสรรพสามิต หรือการได้รับเงินอุดหนุน ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งตัวกระตุ้นที่ทำให้คนนั้นหันมาสนใจการใช้รถ EV กันมากขึ้นอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของ “ความประหยัด” อย่างที่เราเห็นค่าน้ำมันกันทุกวันนี้ว่าราคาพุ่งสูงจากปัจจัยต่างๆ การใช้รถ EV จึงเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งสำหรับคนที่ต้องการจะประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ไม่อยากที่จะรับกับความผันผวนของราคาน้ำมัน และปัจจัยสำคัญที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการเลือกใช้รถ EV มากขึ้นก็คือ การที่ผู้คนตระหนักถึงความรับผิดชอบของตัวเองต่อสิ่งแวดล้อมและต่อโลก ส่งผลให้ความต้องการของผู้บริโภคในช่วงเวลาที่ผ่านมามีการเปลี่ยนไปสู่การเลือกซื้อสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อโลกมากยิ่งขึ้น

ทำให้ตอนนี้เราก็เห็นแบรนด์รถยนต์หลายๆ แบรนด์หันมามุ่งเน้นการพัฒนาและการผลิตรถ EV กันมากขึ้น บางแบรนด์ถึงกับมีมิชชันที่จะเปลี่ยนการผลิตของตัวเองให้เป็นรถ EV แบบ 100% ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ “MINI” แบรนด์รถยนต์สัญชาติอังกฤษ ที่ประกาศว่าจะปรับเป็นแบรนด์รถไฟฟ้าแบบเต็มรูปแบบภายในปี 2030

Advertisements
MINI 5821

โดยในงาน The 43rd Bangkok International Motor Show ที่ผ่านมาทาง MINI ก็ได้มีการจัดบูทที่แสดงถึงเทรนด์โลกอย่าง Sustainability และ Responsibility ซึ่งธีมในปีนี้ก็ได้มีการต่อยอดมาจากธีมในปีที่แล้วอย่าง “Big Love” จนได้กลายมาเป็น “Big Love for Planet” และ “Big Love for People” ในปีนี้นั่นเอง

20220513 174643

สำหรับ “Big Love for People” ทาง MINI ก็ได้มีการเน้นย้ำถึงเรื่องของ Equality โดยมีการพรีเซนต์ออกมาในรูปแบบของการเปิดโอกาสหน้าที่ต่างๆ ภายในบูท ไม่ว่าจะเป็นพริตตี้บอย พริตตี้เกิร์ล หรือพนักงานอำนวยความสะดวกที่ให้โอกาสผู้สูงวัยที่ใจยังรักการทำงานได้มาทำงาน โดยคำว่า People ในที่นี้ยังหมายถึงการร่วมสร้าง Community ที่ดีอีกด้วย ซึ่งทาง MINI ก็ได้มีการจัด Driving Trip ให้กับกลุ่มลูกค้าอยู่ตลอด เพื่อสร้าง Community ที่เหนียวแน่น และยังมีการพาไปทำ CSR กิจกรรมเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอยู่ตลอด

MINI 4061

ในอีกฟากฝั่งหนึ่งอย่าง “Big Love for Planet” ส่วนแรกเลยคือภายในบูธได้มีการพรีเซนต์การมีความรับผิดชอบต่อโลกและสังคม ผ่านการใช้วัสดุที่ถูกรีไซเคิลมาใช้ในการตกแต่งบูธ อีกทั้งยังใช้อุปกรณ์ต่างๆ เช่น แก้วน้ำ หลอด กระดาษ ที่ย่อยสลายง่ายและสามารถนำไปรีไซเคิลต่อได้ เพื่อให้ไม่เกิดขยะที่สูญเปล่าต่อไป

DSC05068
DSC06984

และอย่างที่เราได้มีการกล่าวไปว่า MINI จะปรับเป็นรถ EV แบบ 100% ภายในปี 2030 ทำให้ในปีนี้ นอกจากรถตัวอื่นๆ อย่าง MINI Convertible, MINI Brick Lane Edition, MINI Countryman หรือ MINI John Cooper Works ที่นำมาโชว์ในงาน Motor Show 2022 แล้ว ทาง MINI ก็ได้มีการนำ “MINI Electric Collection Edition” มาแสดงภายในงานเช่นกัน

MINI 4027

MINI Electric Collection Edition เป็นรถ EV 100% และนับว่าเป็นรุ่นพิเศษถัดจาก MINI Electric ที่ได้มีการเปิดตัวไปในปี 2020 โดยจะมีความพิเศษตรงส่วนของหลังคา ที่จะถูกพ่นด้วยเทคนิคใหม่ของ MINI ที่เรียกว่า Wet to Wet (เปียกปนเปียก) คือจะเป็นการที่เมื่อพ่นไปจะไม่รอสีแห้งสนิท แต่ลงสีอื่นๆ ตามมาทันที ซึ่งจะทำให้สีมีความเบลนด์กันอย่างเป็นธรรมชาติ

DSC04953
MINI 4031

โดยการพ่นสีจะพ่นจากส่วนกลางของหลังคาด้วยสีฟ้า Pearly Aqua ตามด้วยสีน้ำเงิน San Marino Blue ตรงส่วนหน้า และปิดท้ายด้วยสีดำ Jet Black ทางด้านหลัง แต่สิ่งที่ทำให้รถรุ่นนี้มีความ Limited Edition ไม่ใช่แค่เทคนิคพิเศษเท่านั้น แต่รถที่ออกมาแต่ละคันจะได้รับการพ่นสีและการไล่สีที่ต่างออกไป ทำให้เกิดความพิเศษของรถแต่ละคันที่จะไม่มีทางเหมือนใครถึงแม้จะเป็นรถรุ่นเดียวกันก็ตาม

สำหรับรถรุ่นนี้ แบตเตอรี่จะใช้ได้อยู่ที่ประมาณ 200 กว่ากิโลเมตร ซึ่งค่อนข้างที่จะเพียงพอแล้วสำหรับการขับขี่ในเมือง ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ทาง MINI ก็ได้วางแผนและมองถึงปัญหาในอนาคต เพราะถ้าหากอยากได้รถที่วิ่งได้ในระยะทางที่ไกลกว่านี้ แบตเตอรี่ของตัวรถก็ต้องใหญ่ตาม ส่งผลกระบวนการทำลายแบตเตอรี่มีความยากตามไปด้วย

ซึ่งจากวิสัยทัศน์ของ MINI ที่ประกาศว่าจะมุ่งสู่การเป็นแบรนด์รถไฟฟ้า 100% ในปี 2030 รวมถึงการเน้นย้ำไปที่รถยนต์ EV ในปีนี้และแนวทางต่อๆ ไปในอนาคต รวมถึงปัจจัยภายนอกต่างๆ อย่างการผลักดันจากรัฐ ความต้องการของผู้คนที่มากขึ้น ก็ทำให้เห็นแล้วว่า มีแนวโน้มค่อนข้างมากที่ใน 5-10 ข้างหน้า อุตสาหกรรมยานยนต์ที่เป็นรถไฟฟ้า 100% จะต้องมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด และอาจกลายมาเป็นทางเลือกหลักของผู้คนก็เป็นได้

Mission To The Moon x MINI

Advertisements

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่