ธุรกิจไทยสร้างความยั่งยืนอย่างไรจนติดอันดับท็อปโลก

ในช่วงหลายปีมานี้ นอกจากเรื่องเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทำให้หลายธุรกิจต้องทรานสฟอร์มกันมากขึ้น ยังมีเรื่องของ “ความยั่งยืน” ตามแนวคิด “ESG : Environment, Social & Governance” ที่ธุรกิจ ทั้งไทยและต่างประเทศ ให้ความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะธุรกิจต้องเผชิญความท้าทายหลายด้าน มีทั้งความเสี่ยงและโอกาส

ประกอบกับในฝั่งของผู้บริโภคเอง ก็เริ่มเห็นแนวโน้มชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่า ผู้คนหันมาตระหนักเรื่องความยั่งยืน โดยเฉพาะเรื่องของสิ่งแวดล้อม และผลกระทบต่อสังคม รวมไปถึงกลุ่มนักลงทุนด้วย พวกเขาเลือกที่จะสนับสนุนบริษัทที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน 

ทำให้เกิดคำถามที่ว่า คนธรรมดาอย่างเราๆ จะรู้ได้อย่างไรว่า ธุรกิจที่เราสนใจนั้นดำเนินการบนหลักการของความยั่งยืนมากน้อยแค่ไหน? วันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับตัวชี้วัดความยั่งยืนที่เรียกว่า “DJSI” กัน

DJSI มาตรวัดความยั่งยืนขององค์กร?

การที่เราจะรู้ได้ว่าการดำเนินธุรกิจมีความยั่งยืนมากน้อยไหน มีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า “DJSI” หรือในชื่อเต็มๆ คือ Dow Jones Sustainability Indices ซึ่งเป็นดัชนีที่ใช้ประเมินผลการดำเนินธุรกิจว่าเป็นไปตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ที่ริเริ่มมาตั้งแต่ปี 1999 โดย S&P Down Jones Indices และ SAM 

การจัดอันดับความยั่งยืน DJSI 2021 จะถูกประเมินในบริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลกกว่า 10,900 บริษัททั่วโลกใน 61 อุตสาหกรรม แต่บริษัทที่จะถูกลิสต์บนดัชนี DJSI จะมีแค่บริษัทที่มีคะแนนความยั่งยืนมากที่สุดจำนวน 10% ในแต่ละอุตสาหกรรมเท่านั้น ทำให้เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยสำหรับบริษัทที่จะติดอันดับ DJSI

DJSI ประเมินธุรกิจในด้านใดบ้าง?

ที่มา https://www.setsustainability.com/download/jrytma94loehvsq (หน้า 14)

ในการประเมินบริษัทเพื่อวัดดัชนี DJSI การประเมินจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักๆ คือ

1) มิติด้านการกำกับดูแลและเศรษฐกิจ (Governance & Economic Dimension) : เน้นการกำกับบริหารดูแลกิจการด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารความเสี่ยง ความปลอดภัย การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน หรือการบริหารจัดการความสัมพันธ์ลูกค้า เป็นต้น

2) มิติด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Dimension) : เน้นรายงานข้อมูล นโยบายการจัดการผลกระทบ และการบริหารประสิทธิภาพด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงการบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ

3) มิติด้านสังคม (Social Dimension) : เน้นย้ำที่คนและสังคมโดยเฉพาะ ทั้งการบริหารจัดการแรงงานที่มีความเท่าเทียม สิทธิมนุษยชน การช่วยเหลือสังคม และการดูแลสุขภาพและสุขภาวะของพนักงาน

โดยบริษัทระดับแนวหน้าของโลกจะได้รับการประเมินในทั้ง 3 ส่วนนี้ ทำให้การจะได้ไปอยู่ในท็อป 10% ของบริษัททั้งหมดไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

DJSI เป้าหมายที่หลายบริษัทอยากไปให้ถึง

อย่างที่เราได้กล่าวไปว่า ณ ปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า หรือบริษัทต่างๆ เองก็เริ่มตระหนักถึงความยั่งยืนด้านต่างๆ กันมากขึ้น จากสภาพของสิ่งแวดล้อม สภาพแวดล้อมทางสังคม และสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยยะสำคัญในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

เราได้เห็นความพยายามจากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐในระดับระหว่างประเทศหรือในประเทศเอง ภาคขององค์กรไม่แสวงผลกำไร หรือภาคประชาชนที่มีการลงมือ มีการสนับสนุนให้เกิดความยั่งยืน ความเท่าเทียม ความโปร่งใส่ และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น

ทำให้หลากหลายธุรกิจที่เป็นส่วนประกอบใหญ่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ มีการเกี่ยวข้องกับผู้คน ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าหรือพนักงาน และในบางอุตสาหกรรมเป็นส่วนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมโดยตรง จะต้องตอบรับความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ เพื่อที่ธุรกิจจะสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและแข็งแกร่งในระยะยาว

นอกจากทางฝั่งของธุรกิจเองแล้ว ส่วนสำคัญที่มีผลต่อธุรกิจก็คือ “นักลงทุน” ที่ก็มีความคาดหวังว่าธุรกิจจะดำเนินงานบนความยั่งยืนมากยิ่งขึ้นในด้านต่างๆ เพื่อที่ธุรกิจจะสามารถแข่งขันและเติบโตได้ในระยะยาว และสามารถสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าให้กับนักลงทุน ซึ่งจากแหล่งข่าวหลายสำนัก รวมถึงบทความ “Three Investment Trends To Watch In 2022” ของ Forbes เองก็ระบุว่า ESG นั้นเป็นเทรนด์การลงทุนที่น่าจับตามองในปี 2022 นี้ และเห็นได้ว่านักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศให้ความสำคัญกับประเด็นของความยั่งยืนในการตัดสินใจลงทุนและมีแนวโน้มว่าจะมากยิ่งขึ้นในปีต่อๆ ไป

การประเมินดัชนี DJSI ในไทย

สำหรับในประเทศไทยแล้วจากข้อมูลของ SET ในปี 2021 มีบริษัทจำนวน 12 แห่งที่ถูกประเมินให้อยู่ในดัชนี DJSI World และมี 24 บริษัทที่ถูกประเมินให้อยู่ในดัชนี DJSI Emerging Market

แต่ที่น่าสนใจเลยคือในกลุ่มของ Telecommunication มีบริษัทไทยที่ขึ้นอันดับ 1  มีคะแนนรวม DJSI 2021 สูงสุดของโลก และติดอันดับดัชนี DJSI คะแนนสูงสุดของโลกในกลุ่มโทรคมนาคมต่อเนื่องถึง 4 ปีเลยทีเดียว ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นั่นคือ True Corporation หรือที่เรารู้จักกันว่า “ทรู” นั่นเอง ที่ได้ ESG Score มากถึง 93 คะแนน และจัดอยู่ในอันดับ Very High ทำให้เราจะไปดูในกรณีศึกษาของทรูกันว่ามีหลักการอย่างไรบ้างในการดำเนินธุรกิจรักษามาตรฐานความยั่งยืนไว้ได้อย่างต่อเนื่อง

“ทรูได้คะแนนรวม DJSI 2021 สูงสุดของโลกและสูงสุดในกลุ่มโทรคมนาคม 4 ปีซ้อน”

กรณีศึกษา True Corporation ผู้นำความยั่งยืนในกลุ่มโทรคมนาคม

ในการผลักดันเรื่องของความยั่งยืนของ True Corporation บริษัทได้มีการดำเนินงานภายใต้กรอบที่เรียกว่า “3H’s” หรือ “Heart, Health และ Home” ในการที่จะไปถึงเป้าหมายเรื่องของความยั่งยืนในด้านต่างๆ ให้ได้ ซึ่งในแต่ละ H ก็จะเน้นไปที่แต่ละด้าน 

โดย H แรก “Heart” จะเน้นไปที่ด้านของการบริหารและด้านเศรษฐกิจ มีการพัฒนาเตรียมความพร้อมในการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ร่วมกับการบริการ มีการพัฒนาช่องทางการให้บริการให้เท่าทันความต้องการของผู้ใช้งาน เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุด มีการบริหารจัดการความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์และการดูแลรักษาข้อมูลส่วนบุคคลให้ได้ 100% ซึ่ง Cyber Security นี้เป็นประเด็นหลักที่หลายบริษัทให้ความสำคัญ ณ ปัจจุบัน รวมถึงยังมีการเน้นย้ำไปที่การขับเคลื่อนการศึกษา ซึ่งกลุ่มทรูได้ดำเนินโครงการทรูปลูกปัญญา และมีส่วนร่วมส่งเสริมการศึกษาเยาวชนไทยกว่า 5.7 ล้านคน ผ่านมูลนิธิสานอนาคตการศึกษาคอนเน็กซ์อีดี ตลอดจนให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพบุคลากรอย่างต่อเนื่องอีกด้วย

“Health” ที่จะเน้นไปที่การช่วยสร้างสังคมที่มีความยั่งยืน โดยภายใต้กรอบนี้ ทรูมีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาช่วยในการกระจายโอกาสให้สังคมสร้างโอกาสให้เยาวชนเข้าถึงแหล่งความรู้ สร้างโอกาสให้กับกลุ่มเปราะบาง ตลอดจนสร้างสรรค์นวัตกรรมเชื่อมโยงทุกความต้องการของคนไทยยุคนิว นอร์มัล ด้วยดิจิทัลแพลตฟอร์ม TRUE VWORLD เทคโนโลยีคลาวด์ที่ครบทุกโซลูชัน ทั้ง VWORK สนับสนุนภาคธุรกิจให้ทำงานที่บ้าน และ VLEARN สนับสนุนสถาบันการศึกษา นักเรียนและนักศึกษา ให้สามารถจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ได้ทุกที่ ทุกเวลา นอกจากนี้ ที่สำคัญเลยคือ ในช่วงของการระบาดของโควิด-19 ภาคสังคมต้องการความช่วยเหลือจากภาคส่วนต่างๆ อย่างมาก ซึ่งทางทรูได้มีการเข้าไปให้การสนับสนุน ให้ความช่วยเหลือด้านของการสื่อสารแก่โรงพยาบาล จุดให้บริการฉีดวัคซีนด้วยเช่นกัน

“Home” ภายใต้กรอบนี้จะเน้นไปที่การดูแลสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นความพยายามในการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศผ่านการลดใช้พลังงานและทรัพยากรที่สิ้นเปลือง การผสานเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้กับกระบวนการทำงาน การจัดการของเสียทุกชนิดด้วยวิธีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการนำเทคโนโลยีพลังงานสะอาดเข้ามาใช้มากขึ้น ดังเช่นที่กลุ่มทรู ติดตั้งพลังงานสะอาดโซล่าร์เซลล์ที่เสาสัญญาณและชุมสาย 3,745 แห่ง สามารถลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กว่า 12,853 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งจะเดินหน้าขยายการติดตั้งอย่างต่อเนื่องโดยยังมีเป้าหมายในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ในปี 2030 อีกด้วย

หากลองสังเกตดีๆ กรอบทั้ง 3 นี้จะตรงกับเกณฑ์ความยั่งยืนทั้ง 3 ของการประเมิน DJSI และมีการดำเนินกรอบนี้มาอย่างต่อเนื่อง และในแต่ละปีก็จะมีการเน้นย้ำในแต่ละเรื่องตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป แต่เรื่องของ “ความยั่งยืน” ก็ยังเป็นหัวใจหลักของการดำเนินธุรกิจตามกรอบนี้ ทำให้นี่อาจจะเป็นคีย์สำคัญว่าทำไมทรูสามารถที่จะอยู่บนลิสต์ดัชนี DJSI ได้ยาวนานถึง 4 ปี และเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มโทรคมนาคม และที่สำคัญ ได้คะแนนรวม DJSI 2021 สูงสุดของโลกจาก 10,900 บริษัททั่วโลกเลยทีเดียว ซึ่งก็เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจสำหรับภาคธุรกิจของไทยที่จะพัฒนาองค์กรธุรกิจบนเส้นทางสู่ความยั่งยืน

อ้างอิง:
https://bit.ly/3Jkvefn
https://bit.ly/36bah8x
https://bit.ly/3oHewyJ
https://bit.ly/3HLByvU
https://bit.ly/3oD0q1h