รู้หรือไม่ว่า ข้อมูล (Data) มีความสำคัญต่อธุรกิจเป็นอย่างมาก?
หลายธุรกิจเริ่มนำ Data มาใช้ในการพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดและประสบการณ์ของลูกค้า รวมถึงนำมาใช้ในการทำความเข้าใจแนวโน้มทางธุรกิจและรวบรวมข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้ใช้ และไม่ใช่แค่ว่ามีเพียงบริษัทด้านเทคโนโลยีเท่านั้นที่ทำเช่นนี้ แต่รวมถึงธุรกิจอื่นๆ ด้วย เช่น บริษัทประกันและธุรกิจโรงแรม
อาจกล่าวได้ว่าเราอยู่ในยุคที่ “Data is God” ข้อมูลคือพระเจ้าที่จะทำให้เรารับรู้ได้ว่าแท้จริงแล้วผู้บริโภคมีความต้องการอะไรกันแน่ จนสามารถปรับสินค้าและบริการของธุรกิจให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้
และในโลกที่เทคโนโลยีขยายตัวเร็วเช่นนี้ก็ทำให้จำนวนข้อมูลเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ใครที่คว้าโอกาสไว้ได้ กล่าวคือสามารถใช้ข้อมูลที่มีอยู่ในมือได้อย่างตรงจุด ก็จะยิ่งทำให้ได้เปรียบคู่แข่ง!
คำถามคือ แล้วธุรกิจจะนำเอา Data มาใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง?
วันนี้เราจะพาไปรู้จักกับ Data-Driven Marketing กลยุทธ์ทางการตลาดที่ขับเคลื่อนด้วย “ข้อมูล” ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของกลยุทธ์การโฆษณาในยุคปัจจุบัน ที่จะช่วยให้ธุรกิจของเราไม่จม ไม่หาย ไม่ตายในโลกแห่งการแข่งขันสูงเช่นนี้
รู้จัก Data-Driven Marketing
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกันก่อนว่า Data-Driven Marketing คืออะไร
Data-Driven Marketing หรือการตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล คือกระบวนการเก็บข้อมูลลูกค้าจากหลากหลายช่องทางเพื่อหาข้อมูลเชิงลึก หลังจากนั้นก็นำข้อมูลนั้นมาใช้ประกอบการตัดสินใจในการทำการตลาดและปรับการตลาดให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละคน ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวจะช่วยให้นักการตลาดเข้าถึงลูกค้าได้ถูกคนในช่วงเวลาและสถานที่ที่เหมาะสม
ตัวอย่างของ Data-Driven Marketing
[ ] การส่งอีเมลโดยตรงถึงลูกค้าที่ใส่สินค้าไว้ในตะกร้าแล้วยังไม่ยอมกดซื้อ
[ ] การสร้างคอนเทนต์ที่เฉพาะบุคคล เช่น Spotify Wrapped คือแคมเปญการตลาดส่งท้ายปีของ Spotify ที่รวบรวมข้อมูลการฟังเพลงตลอดทั้งปีของผู้ใช้และสรุปผลออกมาให้ทุกคนแบบ Personalized ว่าแต่ละคนฟังเพลงแนวไหน ฟังศิลปินคนใดมากที่สุด ซึ่งถือว่าเป็นแคมเปญที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เพราะแชร์กันทั้งโซเชียล
แล้ว Data-Driven Marketing แตกต่างจาก Traditional Marketing หรือการตลาดแบบดั้งเดิมอย่างไร?
การตลาดแบบดั้งเดิมจะเป็นการทำการตลาดผ่านช่องทางออฟไลน์ เช่น ป้ายโฆษณา สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อนอกบ้าน ซึ่งหมายความว่าจะมีข้อจำกัดมากกว่า กล่าวคือสโคปค่อนข้างแคบ เป็นการโฆษณาแบบอยู่กับที่ คนเข้าถึงได้ไม่เยอะเท่าออนไลน์ รวมทั้งยาก ช้า และแพงกว่าจะบรรลุผล
การทำการตลาดแบบดั้งเดิมมักจะต้องอาศัยประสบการณ์และสัญชาตญาณในอดีตเพื่อนำมาช่วยในการตัดสินใจ เพราะไม่ได้มีข้อมูลอะไรในมือมาก ในขณะที่ Data-Driven Marketing จะใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยในหลายๆ ขั้นตอน เช่น รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล ตรวจสอบข้อมูลแบบเรียลไทม์ ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และช่วยให้มีผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น
ทำไมต้อง Data-Driven Marketing?
ในโลกธุรกิจต่างก็เป็นที่ทราบกันดีว่า Big Data ช่วยให้นักการตลาดตัดสินใจได้ดีขึ้น และการตัดสินใจนั้นก็นำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม เรามาดูไปพร้อมๆ กันว่า Data-Driven Marketing ช่วยให้ผลลัพธ์ดีขึ้นอย่างไรบ้าง
ประการแรกคือ ช่วยให้เข้าถึงและเข้าใจกลุ่มเป้าหมายได้ดีกว่าเดิม
การเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลของลูกค้าด้วยกลยุทธ์ Data-Driven Marketing จะช่วยให้เราเข้าใจมากขึ้นว่าลูกค้าของเราคือใครกันแน่ และเราจะรับรู้ได้ดีขึ้นว่าใครที่มีแนวโน้มจะกลายมาเป็นผู้ซื้อสินค้าของเราในอนาคต เช่น การใช้ Social Listening ในการฟังเสียงลูกค้า
อีกประการหนึ่งคือ ช่วยเพิ่มโอกาสพิชิตใจลูกค้าได้มากขึ้นด้วย Personalization
การตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลจะช่วยให้นักการตลาดส่งต่อคอนเทนต์ที่ตรงกับความต้องการ ความชอบ พฤติกรรมของลูกค้าแต่ละคนได้ ซึ่งจะทำให้การสื่อสารดูมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น เพราะสามารถเข้าถึงใจกลุ่มเป้าหมายได้
โดยมีการศึกษาพบว่า 74% ของลูกค้าจะรู้สึกหงุดหงิดหากคอนเทนต์ที่ได้รับไม่ตรงกับความสนใจ ซึ่งเมื่อลูกค้าหงุดหงิด แน่นอนว่าหากแบรนด์มอบข้อเสนอใดๆ ไป ลูกค้าก็จะไม่สนใจนั่นเอง ดังนั้นแล้ว หากอยากดึงดูดใจลูกค้าเอาไว้ให้ได้ ทางแบรนด์จึงต้องมีการ Personalize หรือปรับเปลี่ยนประสบการณ์ให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละคน ซึ่งแน่นอนว่า Data-Driven Marketing สามารถตอบโจทย์เรื่องนี้ได้ดีกว่าการตลาดแบบดั้งเดิม
นอกจากนี้แล้ว ทาง Forbes เองก็มีงานวิจัยที่ชี้ว่าการให้ความสำคัญกับ Data นั้นมีประโยชน์มหาศาล ไม่ว่าจะเป็น…
[ ] เพิ่มความภักดีของลูกค้า
[ ] เพิ่มลูกค้าใหม่ๆ
[ ] เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า
และข้อมูลจาก ZoomInfo พบว่า องค์กร 78% มองว่า Data-Driven Marketing ช่วยเพิ่ม Conversion (เช่น การสั่งซื้อสินค้า การสมัครสมาชิก) และช่วยให้หาลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้นได้ (Customer Acquisition) เช่นเดียวกับ Forbes ที่เผยว่า 66% ของผู้นำด้านการตลาดที่มองว่าข้อมูลที่แบรนด์มีอยู่ในมือจะช่วยเรียกลูกค้ารายใหม่เข้ามาได้
กรณีศึกษา : กลยุทธ์การตลาดของ Netflix
หากพูดถึงธุรกิจที่มีการนำ Data มาใช้ในการขับเคลื่อนธุรกิจ ก็คงต้องพูดถึง “Netflix” แพลตฟอร์มสตรีมมิงที่นำเสนอความบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นซีรีส์ ภาพยนตร์ อนิเมะ และอื่นๆ อีกมากมาย
หากนับตั้งแต่สมัยก่อนที่ Netflix เป็นเพียงร้านเช่า DVD ที่มีเนื้อหาน้อยกว่าพันเรื่อง สู่การเป็นแพลตฟอร์มสตรีมมิงเบอร์ต้นๆ ของโลกในปัจจุบัน ก็ถือว่า Netflix ก้าวมาไกลมาก และแน่นอนว่ากลยุทธ์การตลาดของ Netflix นั้นถูกจับตามองโดยธุรกิจอื่นอย่างไม่ต้องสงสัยว่าทำไมบริษัทนี้ถึงมีกลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพกว่าบริษัทอื่นๆ ในตลาด
จริงๆ แล้ว Netflix ก็เป็นองค์กรที่มีการนำกลยุทธ์การตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลมาใช้ ซึ่งเบื้องหลังความสำเร็จของ Netflix ที่ผ่านมาคือทางองค์กรมีการวิเคราะห์และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำการตลาดอยู่เสมอ
โดยกุญแจสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ Netflix ถูกใจผู้ใช้บริการหลายคนคือ “การยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง” Netflix ให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า โดยทางแบรนด์ได้มีการดึงดูดลูกค้าด้วยการเปลี่ยนประสบการณ์การรับชมให้เหมาะกับแต่ละคน
นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอภาพปกภาพยนตร์และซีรีส์แบบ Personalized อีกด้วย เพื่อให้ผู้ใช้งานคลิกเข้าชมและดึงให้ลูกค้ามาใช้ Netflix อยู่ตลอด โดยปกหนังและซีรีส์อาจจะปรากฏหน้านักแสดงที่เราชื่นชอบ หรือนำเสนอฉากเด็ดของเรื่องนั้นๆ ดังนั้นแล้วสไตล์ภาพปกที่เราเห็นก็จะแตกต่างกันออกไปนั่นเอง
นอกจากนี้ อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าการตัดสินใจด้วยประสบการณ์ในอดีตหรือสัญชาตญาณอาจไม่ได้ดีเสมอไป เพราะฉะนั้นแล้วนักการตลาดยุคใหม่จึงควรเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับผู้บริโภค ซึ่ง Netflix ก็มีการทำ Customer Data Analytics หรือเอาข้อมูลที่มีมาวิเคราะห์อยู่ตลอดเพื่อจะได้รู้ว่าควรเสิร์ฟคอนเทนต์แบบไหนให้ลูกค้า เช่น หากผู้ใช้ Netflix ชอบ Rocky ก็จะนำเสนอสารคดีกีฬาให้รับชม
Netflix ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของคำว่านวัตกรรมและการเติบโตไปพร้อมๆ กับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ธุรกิจมีความพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตามความต้องการของตลาดและผู้ใช้ตลอดเวลา ซึ่งทาง Netflix ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเราสามารถเข้าถึงและเข้าใจลูกค้าได้ง่ายขึ้นผ่านการวิเคราะห์และปรับเปลี่ยนตัวเองให้เหมาะกับสถานการณ์อยู่ตลอด
กว่า Netflix จะมีวันนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายและไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือโชคชะตาที่ลิขิตมาให้เป็นแบบนี้ เพราะทุกการตัดสินใจที่ Netflix ล้วนแล้วแต่ขับเคลื่อนด้วย “ข้อมูล” ไม่เว้นแม้แต่ชุดสี Color Palette ที่ใช้ในการออกแบบปก ความสำเร็จของ Netflix ได้ตอกย้ำคำว่า “Data is God” ได้เป็นอย่างดี ซึ่งรายงานของ Marketing Week ชี้ว่าความสำเร็จของ Netflix นั้นมาจากการที่แบรนด์สามารถควบคุมข้อมูลและส่งต่อคอนเทนต์ที่ตรงใจผู้บริโภคได้อย่างดีเยี่ยม จนทำให้องค์กรสามารถสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า สร้างความพึงพอใจและรักษาลูกค้าไว้ได้ในระดับที่สูงเป็นอย่างมาก
หากใครอยากเอาชนะใจคู่แข่ง พิชิตใจลูกค้า และดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ก็อย่าลืมว่า “ข้อมูล” นั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมาก หากเราละเลยหรือใช้ข้อมูลที่มีอยู่ในมือไม่เป็นก็อาจทำให้เราล้าหลังกว่าใครๆ โดยไม่รู้ตัวได้
สำหรับใครที่ไม่อยากให้ธุรกิจล้ม หาย ตาย จาก เพราะขาดการบริหารจัดการที่รอบคอบ ก็ไม่ควรพลาดกับ “Ultimate Business Bootcamp for Entrepreneurs and Executives” คอร์สเรียนออนไซต์ (Onsite) ที่อัดแน่นความรู้แบบ “ครบเครื่อง” สำหรับเจ้าของธุรกิจ ผู้บริหาร และผู้นำในองค์กรยุคใหม่ เริ่มปูพื้นฐานตั้งแต่การคิดอย่างมีกลยุทธ์ฉบับผู้นำ ไปจนถึงเคล็ดลับการบริหารแต่ละด้านภายใน 7 สัปดาห์ เรียนจบแล้วพร้อมนำไปปรับใช้กับธุรกิจได้ทันที
โดยในคอร์สนี้เราจะพาไปเจาะลึก 3 เสาหลักในการบริหารองค์กรยุคใหม่ที่ช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด ไม่ว่าจะเป็น
[ ] Business : เข้าใจตลาด เข้าใจธุรกิจ ไปจนถึงเทคนิคและแนวคิดของผู้นำที่บริหารได้อย่างมีกลยุทธ์
[ ] Technology : ตามเท่าทันโลกแห่ง “Data” และการตลาดยุคดิจิทัลด้วยเครื่องมือพร้อมใช้งาน
[ ] People & Culture : สร้างทีมที่มั่นคงและองค์กรที่แข็งแกร่ง พร้อมรับทุกสนามแข่งขันทางธุรกิจ
เรียนจริง ทำจริงแบบเข้มข้น!
สมัครเลย จำกัดเพียง 40 ที่นั่งเท่านั้น! อ่านข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://bitly.cx/1OfTD
อ้างอิง
– What Is Data-Driven Marketing & Why Is It Important? : Sydney Go, Semrush – https://bit.ly/3yxyoMJ
– What is data-driven marketing? : Adverity – https://bit.ly/3wFhXxo
– A Case Study on Netflix Marketing Strategy : Rahul Arun, Simplilearn – https://bit.ly/3yzqeU9
– How data drives decision-making at Netflix : Thea Sokolowski, Outside Insight – https://bit.ly/3KgzMWC
#business
#marketing
#datadriven
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast