ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคโนโลยีดิจิทัลมีบทบาทสำคัญต่อชีวิตของคนยุคนี้อย่างมาก แทบทุกอย่างรอบตัวต่างเชื่อมต่อไปยังโลกดิจิทัล โดยเฉพาะด้านการทำงาน
ด้วยเหตุนี้คงไม่ดีแน่ถ้างานต้องติดขัด เพราะปัญหาสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ช้าและไม่เสถียร ความเร็วไม่เพียงพอต่อความต้องการ ไม่มีความปลอดภัยของข้อมูลต่างๆ สิ่งเหล่านี้อาจสร้างความเสียหายต่อธุรกิจ จนบานปลายเป็นปัญหาใหญ่ได้
เมื่อเทคโนโลยีดิจิทัลนั้นใกล้ตัวกว่าที่คิด แถมยังส่งผลต่อชีวิตและธุรกิจอย่างมาก ในบทความนี้ เราจะพาทุกคนไปเจาะลึกเทรนด์ “Data Center” พร้อมทำความรู้จัก “เบื้องหลัง” การเดินทางของเทคโนโลยีต่างๆ ที่จะช่วยไขข้อสงสัยได้ว่า ต้นตอของปัญหาคืออะไร ทำไมถึงสำคัญกับธุรกิจยุคใหม่ และควรเลือกลงทุนกับเทคฯ อย่างไร
ผ่านมุมมองที่ได้จากการพูดคุยกับ “คุณณรงศักดิ์ อภิวัฒนชัย” Managing Director จากบริษัท ไนน์ ดิสทริบิวชั่น จำกัด หรือ “9D” ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายอุปกรณ์และโซลูชันเกี่ยวกับสายสัญญาณคอมพิวเตอร์และโทรคมนาคม พร้อมบริการให้คำปรึกษา ออกแบบ และเทรนนิง
“Data Center” มีบทบาทสำคัญอย่างไร
ชีวิตแบบ New Normal และ Digital Transformation ทำให้ภาคธุรกิจมองหาตัวช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขัน โดย Data Center เป็นหนึ่งในตัวช่วยรองรับการเติบโตของธุรกิจได้เป็นอย่างดี เพราะมี Server Farm ขนาดใหญ่ อุปกรณ์ Network ที่รองรับการรับ-ส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูง ระบบรักษาความปลอดภัย และการจัดเก็บข้อมูลต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ยังมี “Cloud Service” เป็นบริการที่หลายคนอาจคุ้นเคยกันบ้างแล้ว และยังเป็นที่นิยมของหลายธุรกิจอีกด้วย ซึ่งมี 2 แบบ คือ
1. Private Cloud: การใช้ Server และ Resources ของตัวเอง มีความปลอดภัยสูง
2. Public Clound: การแชร์ Server และ Resources ร่วมกัน
ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหนก็ตาม แต่การยกหน้าที่บริการ “IT Network Infrastructure” ให้กับผู้บริการรายใหญ่ไป ก็ทำให้ผู้บริการจำเป็นต้องมี Resources ขนาดใหญ่ เช่น Network Equipment, Security, Server, Storage และ Structured Cabling รวมถึงต้องมีห้อง Data Center ขนาดใหญ่ที่มีระบบไฟฟ้า ระบบทำความเย็น และระบบรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ Data Center เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เจาะลึกเทรนด์ “Data Center” ในอนาคต
ปัจจุบันธุรกิจทุกขนาดหันมาเช่ากับผู้ให้บริการมากขึ้น ผนวกกับโลกที่มีแต่ความไม่แน่นอน ทำให้เกิดเทรนด์ใหญ่ๆ 4 ประเด็น ดังนี้
1. Scalability: มีความยืดหยุ่น สามารถรองรับการปรับเพิ่ม-ลดตามความต้องการของลูกค้าได้
2. Speed: มีความเร็วในการรองรับข้อมูลที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด และเตรียมสร้างหรือขยาย Data Center เพื่อให้บริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว
3. Security: รักษาความปลอดภัยของข้อมูล ทั้ง Offline และ Online
4. Energy Saving: ใช้เทคโนโลยีที่สร้างมลภาวะน้อยที่สุด อายุการใช้งานนาน พลังงานต่ำ และหันมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น
“IT Network Infrastructure” คืออะไรเข้าใจเบื้องหลังการเดินทางของดิจิทัล
ถ้าพูดถึง “เบื้องหน้า” ก็คือสิ่งที่เราคุ้นเคยและใช้กันอยู่ทุกวัน เช่น แอปฯ สมาร์ตโฟน หรือเว็บไซต์ต่างๆ แต่รู้หรือไม่ว่า “เบื้องหลัง” การเดินทางของเทคโนโลยีที่ใช้อยู่นั้น รองรับด้วย “IT Network Infrastructure” ขนาดใหญ่ที่คอยรับ-ส่งข้อมูลทุกรูปแบบบนโลกดิจิทัล เช่น ตัวหนังสือ รูปภาพ เสียง หรือคลิปวิดิโอ
พูดง่ายๆ ก็คือ 5G, WiFi, Internet Banking และ Fiber to Home (FTTH) ที่ใช้กันในชีวิตประจำวัน โดยสิ่งเหล่านี้จะเชื่อมต่อข้อมูลทุกรูปแบบเข้าสู่โลกดิจิทัล
เมื่อใช้งานไปสักพักอาจพบปัญหาระหว่างการใช้งาน เช่น WiFi ช้า หรือสัญญาณ 5G ไม่ขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากคนใช้งานมากขึ้น ทำให้จำนวน Data เพิ่มขึ้น แต่กลับมี Network Traffic เท่าเดิม ทำให้ไม่สามารถรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นได้ รวมถึงไม่มีความพร้อมด้านอุปกรณ์ ความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลไม่เพียงพอ ส่งผลให้ปัญหาต่างๆ ตามมา
.
หรือเรียกรวมๆ ว่า “IT Network Infrastructure” ยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอนั่นเอง
อนาคตของธุรกิจและการลงทุนกับเทคฯในระยะยาว
เมื่อก่อน Data Center อาจเป็นเรื่องไกลตัว แต่ตอนนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวและสำคัญกับธุรกิจทุกขนาด เราจะพบว่าธุรกิจเริ่มมุ่งมาที่ Digital Marketing มากขึ้น ทำให้การขายผ่านช่องทาง Marketplace และ Application เป็นที่นิยมอย่างต่อเนื่อง แถมยอดขายออนไลน์ยังสูงกว่ายอดขายหน้าร้านอีกด้วย
การทำธุรกรรมทางการเงินก็เปลี่ยนไป คนไปธนาคารน้อยลง เพราะสามารถทำธุรกรรมผ่านแอปฯ ธนาคารได้ เข้าสู่สังคมไร้เงินสด รวมถึงความนิยมของสกุลเงินดิจิทัลก็ทำให้เห็นว่าโลกดิจิทัลส่งผลต่อสถาบันการเงินอย่างมาก
นอกจากนี้การเพิ่มบทบาทให้กับระบบ IoT (Internet of Things) ก็ช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงข้อมูลมากขึ้น สามารถเก็บข้อมูลและนำไปวิเคราะห์ เพื่อออกแบบให้ตรงตามความต้องการของลูกค้า และพัฒนาธุรกิจต่อไปในอนาคตได้
การเลือกเทคโนโลยีและโซลูชันเพื่อใช้ “เทคโนโลยีนำธุรกิจ”
ธุรกิจทุกประเภทจำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ให้ดีและเร็วที่สุด รวมถึงต้องให้ความสำคัญในการ “ใช้เทคฯ เพื่อนำธุรกิจ ไม่ใช่ใช้เทคฯ เพื่อสนับสนุนธุรกิจเหมือนที่ผ่านมา” ไม่เช่นนั้นธุรกิจอาจตกขบวนไปอย่างน่าเสียดาย
หากใครกำลังมองเทคโนโลยีและโซลูชันสำหรับระบบโครงสร้างเครือข่ายให้ธุรกิจอยู่ “Nine Distribution” อาจเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ตอบโจทย์ความต้องการให้ธุรกิจได้ครบครัน เพราะมีทั้งอุปกรณ์สำหรับ Data Center, Network Wireless Solution ทีมงานให้คำปรึกษา ติดตั้ง ออกแบบระบบ และการเทรนนิง
ยิ่งยุคที่เทรนด์ของ Data Center คำนึงถึงการประหยัดพลังงาน ความยืดหยุ่น ความเร็ว และความปลอดภัยเป็นหลัก หากมีโซลูชันที่ช่วยตอบโจทย์เทรนด์เหล่านี้ได้ก็คงจะดีไม่น้อย โดย “Comscope” หนึ่งในสินค้าที่ Nine Distribution จัดจำหน่าย ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นสายสัญญาณที่ดีที่สุดในโลก และก็มีโซลูชันที่น่าสนใจคือ “Propel” เทคโนโลยีที่ครบถ้วนจากโรงงานส่งตรงถึง Data Center ภายใต้คอนเซฟต์ “Flexible-Fast-Future Ready”
สำหรับจุดเด่นของ “Propel” ก็คือ มีความยืดหยุ่น สามารถปรับเพิ่ม-ลดได้ตามความต้องการ ประหยัดพื้นที่ในห้อง Data Center ประหยัดพลังงาน และรองรับความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลได้สูงถึง 800 Gbps
นอกจากนี้ Nine Distribution ยังมีสินค้าและโซลูชันอีกมากมาย สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: https://bit.ly/3O2rfqk และ https://bit.ly/3O2rmSM
Mission to the Moon X 9D & Commscope