เป้าหมายในชีวิตเราไม่เหมือนกัน บางคนพอใจกับการละเลียดโมงยามของการได้ลงมือทำ เก็บเกี่ยวความสวยงามยามค่อยๆ เดินทีละก้าว การวัดผลของชีวิตจึงเป็นการมองมุมกว้างว่าแต่ละวันเราได้มีความสุขไปกับอะไรบ้าง เพราะการเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเกินไปอาจไม่ใช่สิ่งที่อยากทำ
แต่ถ้าคุณเป็นคนมองไปที่เป้าหมาย รู้สึกว่าการใช้ชีวิตแต่ละวันยังคงย่ำอยู่กับที่ และความสโลว์ไลฟ์ไม่ตอบโจทย์นัก ลองมาดูว่าเป็นเพราะคุณยังทำสิ่งเหล่านี้อยู่หรือเปล่า อาจมีบางข้อที่คุณเลิกทำ แล้วจะก้าวไปไกลกว่าเดิมก็เป็นได้
เลิกรอจังหวะเวลาที่เพอร์เฟกต์
เรามักมีคำพูดติดปากว่า “เดี๋ยวค่อย…” เดี๋ยวค่อยเริ่มงาน เดี๋ยวค่อยออกกำลังกาย เดี๋ยวค่อยตอบไลน์ เรา “เดี๋ยว” กับหลายๆ สิ่ง เพราะคิดว่ามันมีจังหวะเวลาที่ดีที่สุดในการเริ่มทำสิ่งนั้นๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราไม่เคยมีช่วงเวลาที่เพอร์เฟกต์
ช่วงเวลาที่ดีที่สุด คือช่วงนี้นี่แหละ ปัจจุบันขณะที่คุณเริ่มลงมือทำในทันทีทันใด แล้วปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ข้างหน้า เรียนรู้ที่จะล้มและลุกไปกับเวลานาทีนับจากวันนี้… จำไว้ว่า ’นาทีนี้’ คือเวลาที่เพอร์เฟกต์ที่สุดเสมอ
เลิกหวังการทำได้มากที่สุด แต่ใส่ใจกับการทำให้ดีที่สุด
การใช้เวลาอย่างคุ้มค่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ไม่ใช่การทุ่มเทเวลาไปกับการสร้างผลงานให้ได้มากที่สุด เพราะจำนวนที่มากนั้นไม่ได้การันตีถึงคุณภาพที่มากตามไปด้วย และการวัดศักยภาพของตนเองก็ไม่ใช่การนับที่จำนวนผลลัพธ์แต่อย่างใด
มนุษย์ไม่ใช่หุ่นยนต์ผลิตงานให้มากที่สุด แต่มันคือการบริหารจัดการชีวิต เพื่อการรังสรรค์ผลงานที่ดีเยี่ยม ที่ตนเองก็รู้สึกพอใจกับมัน
เลิกใช้เวลาที่มีประสิทธิภาพไปกับกิจกรรมไร้สาระ
แต่ละคนจะมี “ช่วงเวลาที่มีประสิทธิภาพที่สุด” แตกต่างกัน บางคนรู้สึกมีพลังที่สุดตอนเช้าๆ หลังตื่นนอน บางคนความคิดดีๆ จะมาตอนบ่าย และมีอีกไม่น้อยที่ชอบทำงานตอนกลางคืน ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาไหน ขอให้คุณเก็บช่วงเวลาที่ดีที่สุดนั้นไว้กับงานที่สำคัญที่สุด
ลองเรียงลำดับงานในแต่ละวัน และเลือกงานที่ยากหรือสำคัญที่สุดไว้ทำตอนที่สมองแล่น ส่วนกิจกรรมอื่นๆ อย่างเช่นการเล่นมือถือ เช็กข่าวสาร หรือดูเน็ตฟลิกซ์ ให้เก็บไว้ทำในช่วงเวลาอื่นแทน
เลิกมองชีวิตตัวเองผ่านสายตาคนอื่น
เราคงใช้ชีวิตโดยไม่สนใจคนอื่นไม่ได้ เพราะยังไงเราก็อยู่ในสังคมร่วมกับคนอีกมากมาย แต่เราไม่ควรให้ “สายตาคนอื่น” มากำหนดชีวิตเรา หรือคิดว่าเราต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ อย่างที่คนอื่นคิดว่าเราต้องเป็น
เพราะตัวเราเองที่รู้ดีว่า หลักไมล์ของชีวิตเราคืออะไร และลู่วิ่งของตัวเราเองคือเส้นทางไหน ออกแบบชีวิตของตัวเองให้ดี ส่วนมุมมองของคนอื่นเป็นเพียงความคิดเห็นเพิ่มเติมที่เราจะหยิบมาใช้เท่านั้น
เลิกเปลี่ยนแผนไปมาบ่อยๆ
ชีวิตคือความไม่แน่นอน เราต้องพร้อมเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ นั่นคือไอเดียที่ถูกต้อง แต่การเปลี่ยนแผนกลับไปกลับมาบ่อยๆ จนเหมือนไร้แผนการ ก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก เพราะลึกๆ แล้วมันอาจหมายถึงคุณไม่อยากเริ่มทำงานใดๆ เลย
เลือกหนึ่งแผน แล้วลงมือทำตั้งแต่วันนี้ ถ้าเกิดข้อผิดพลาดอะไรก็ค่อยๆ ไปปรับหน้างาน ดีกว่าเปลี่ยนแผนไปมาอย่างสิ้นเชิง
เลิกคิดว่าตัวเองไม่เหมือนคนอื่น
ทุกคนมีสไตล์ที่แตกต่างกัน การที่เราคิดหรือทำไม่เหมือนคนอื่นนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ความแตกต่างคือเรื่องปกติ การที่คนอื่นไม่ทำบางสิ่ง ไม่ได้หมายความคุณเลือกทำสิ่งนั้นไม่ได้
ถ้าอยากลองทำ จงทำ อย่ากลัวแค่เพียงเพราะคุณกำลังเดินอยู่ในทางที่คนอื่นไม่เคยเดินมาก่อน
เลิกคิดว่าตัวเองรู้ดีที่สุด
อย่ามั่นใจอะไรผิดๆ ด้วยการคิดว่าตัวเองเป็นคนที่รู้เรื่องบางเรื่องดีที่สุด เพราะเมื่อเกิดปัญหา คุณจะรู้สึกว่ามันไม่มีทางออกแล้ว เพราะขนาดตัวเองที่รู้ดีที่สุดยังไม่เห็นทางออกเลย การมั่นใจในเรื่องนี้อาจทำให้คุณเจอทางตันได้โดยง่าย
เปิดใจรับฟังคำแนะนำของคนอื่นบ้าง เผื่อเขาจะพูดหรือชี้แนะในสิ่งที่เรามองไม่เห็น ปาฏิหาริย์อาจเกิดขึ้นได้ เพียงแค่เรายอมรับว่าเรา “ไม่รู้” ในบางเรื่องเท่านั้นเอง
เลิกคิดว่าผลลัพธ์แย่ๆ เกิดจากการเลือกทางที่ผิด
เราต้องเจอทางเลือกในทุกๆ ช่วงของชีวิต เลือกเรียนระหว่างคณะที่ชอบกับคณะที่หางานง่าย เลือกคบกับคนที่แอบรักมานาน หรือคนที่เหมาะสมกัน เลือกบริษัทใหญ่หรือสตาร์ตอัป ฯลฯ หากเราเลือกสิ่งหนึ่งแล้ว ผลลัพธ์ไม่เป็นอย่างที่คิด ก็ไม่ใช่ว่าเราเลือกทางที่ผิดเสมอไป
อย่ากลัวการเลือกจนไม่กล้าเลือกทางไหนเลย แบบนั้นชีวิตคุณคงหยุดนิ่งอยู่กับที่ไปตลอด ชั่งน้ำหนักเลือกสักอย่าง และเดินหน้าในเต็มที่ อย่างน้อยทางที่เราเลือกก็ทำให้เราก้าวหน้าไปไกลกว่าความกลัวอยู่แล้ว