PODCASTMISSION TO THE MOONรู้จัก 3 ปัจจัยชี้วัดสำคัญ สัญญาณบอกเหตุ FED ปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น-ลง

รู้จัก 3 ปัจจัยชี้วัดสำคัญ สัญญาณบอกเหตุ FED ปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น-ลง

ในปัจจุบันนี้ สภาวะเศรษฐกิจของทั่วทั้งโลกเรียกได้ว่ากำลังตกอยู่ในช่วงที่มีความผันผวนค่อนข้างสูงเลยทีเดียว โดยเราเห็นราคาของสิ่งต่างๆ มีการปรับขึ้นลงอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่วัตถุดิบทำอาหาร ค่าไฟฟ้า ไปจนถึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิง แถมยังส่งผลให้ตลาดการลงทุนมากมายในปัจจุบันเองก็มีความผันผวนสูงเช่นกัน ซึ่งด้วยความผันผวนทั้งหมดเหล่านี้ก็ได้สร้างผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนจำนวนมาก

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าปัจจัยสำคัญที่เป็นทั้งตัวขับเคลื่อนและทำให้เกิดความผันผวนของเศรษฐกิจ รวมถึงโลกของการเงินการลงทุนนั้น ก็คือนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐหรือ FED (Federal Reserve) นั่นเอง

เมื่อใดที่ FED ปรับอัตราดอกเบี้ยลง ราคาของหุ้นหรือคริปโทฯ ก็พากันขึ้นเขียวสดใส ในทางตรงข้ามเมื่อใดที่อัตราดอกเบี้ยถูกปรับขึ้น ราคาของหุ้นและคริปโทฯ ก็มักจะพากันปรับตัวลงไปตามๆ กัน เพราะว่าการปรับอัตราดอกเบี้ยมีผลต่อต้นทุนทางการเงิน

กล่าวคือ หากมีการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น ดอกเบี้ยเงินกู้ ดอกเบี้ยเงินฝาก และดอกเบี้ยในหุ้นกู้และพันธบัตรรัฐบาลก็จะถูกปรับขึ้นไปด้วย ดอกเบี้ยเงินกู้ที่เพิ่มขึ้นทำให้ความสนใจในการกู้ยืมลดลงเนื่องจากต้องแบกรับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ส่งผลให้ผู้กู้ก็ไม่อยากกู้เงินส่งผลต่อเนื่องทำให้การลงทุนชะลอตัวลง และดอกเบี้ยเงินฝากที่เพิ่มขึ้นย่อมทำให้แรงจูงใจในการนำเงินไปลงทุนในที่ที่มีความเสี่ยงต่ำอย่าง เงินฝากธนาคารและพันธบัตรรัฐบาล แทนการนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงกว่าอย่างหุ้นและคริปโทฯ ดังนั้นราคาหุ้นและคริปโทฯ จึงปรับตัวลงในสภาวะที่อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นนั่นเอง

ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของการปรับอัตราดอกเบี้ยโดย FED ว่าเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องให้ความสำคัญและติดตามอย่างใกล้ชิดเลยทีเดียว แต่ทุกคนรู้หรือไม่ว่า เบื้องหลังการตัดสินใจของ FED ในการปรับ-ลดอัตราดอกเบี้ยนั้น จะใช้ปัจจัยชี้วัดที่สำคัญทางเศรษฐกิจเข้ามาประกอบการตัดสินใจด้วยนั่นเอง

โดย 3 ปัจจัยชี้วัดสำคัญทางเศรษฐกิจที่มีผลต่อการตัดสินใจปรับขึ้น-ลดอัตราดอกเบี้ยของ FED ก็คือ

1. Non-Farm Payrolls (การว่างงานนอกภาคเกษตร)

อัตราการว่างงานนอกภาคเกษตรนี้ถือว่ามีส่วนสำคัญสำหรับเศรษฐกิจเลยทีเดียว เนื่องด้วยแรงงานส่วนนี้มีสัดส่วนสูงถึง 80% ของ GDP สหรัฐฯ โดยจะมีการรายงานตัวเลข Non-Farm Payrolls นี้ออกมาทุกเดือน โดยตัวเลขที่ประกาศออกมาหากเป็นบวกหมายถึงการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น และหากตัวเลขออกมาเป็นลบหมายถึงการจ้างงานที่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า

ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงนี้สามารถสะท้อนต่อเนื่องไปถึงการขยายหรือหดตัวของระบบเศรษฐกิจได้ กล่าวคือ การจ้างงานที่เพิ่มขึ้นย่อมหมายถึงประชาชนจะมีเงินมาใช้จ่ายมากขึ้น เงินที่หมุนเวียนในระบบก็มีมากขึ้น เศรษฐกิจก็จะขยายตัวขึ้นได้นั่นเอง แต่ในทางกลับกันหากมีคนว่างงานมากขึ้น ย่อมหมายถึงเงินในมือของประชาชนที่น้อยลง คนก็จะออกมาจับจ่ายใช้สอยกันน้อยลง ระบบเศรษฐกิจก็จะหดตัวลงนั่นเอง ดังนั้น FED จึงมักจะใช้ตัวเลขส่วนนี้เข้ามาใช้ในการประกอบการตัดสินใจในการดำเนินนโยบายการเงิน อย่าง QE หรือ QT และรวมไปถึงการเพิ่มลดอัตราดอกเบี้ยด้วย

2. Inflation Rate (อัตราเงินเฟ้อ)

เชื่อว่าคนส่วนใหญ่คงคุ้นเคยกับอัตราเงินเฟ้อกันมาบ้างไม่มากก็น้อย โดยอัตราเงินเฟ้อนั้นจะประกาศออกมาในรูปแบบของเปอร์เซ็นต์ (%) ที่บ่งบอกว่าราคาสินค้าโดยเฉลี่ยสูงกว่าปีก่อนหน้ากี่เปอร์เซ็นต์ โดยดัชนีที่นิยมใช้เป็นตัวชี้วัดทางด้านเงินเฟ้อนั้น ได้แก่ CPI, PCE และ PPI ซึ่งล้วนแต่เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทาง FED นำไปตัดสินว่าจะเพิ่มหรือลดอัตราดอกเบี้ย

เริ่มจาก ดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index: CPI) ที่เป็นเครื่องมือทางสถิติที่ใช้วัดราคาของสินค้าและบริการโดยเฉลี่ยที่ผู้บริโภคจ่ายเพื่อซื้อสินค้าและบริการจำนวนหนึ่ง ณ ช่วงเวลาหนึ่งเทียบกับปีฐาน ใช้เพื่อในการคาดการณ์แนวโน้มการบริโภคและภาวะเงินเฟ้อหรือเงินฝืด

โดย CPI จะมีการคำนวณทุกเดือนโดยสำนักงานสถิติแรงงาน (BLS) และบ่อยครั้งที่ CPI นั้นจะถูก FED นำไปใช้เพื่อกำหนดทิศทางนโยบายการเงิน โดยมีเป้าหมายการคงอัตราเงินเฟ้อไว้ที่ 2% หากเกินกว่านี้ FED อาจมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระหว่างธนาคารของสหรัฐฯ ได้

นอกจากนี้ยังมีดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน หรือ Core CPI ที่ FED นิยมนำมาใช้พิจารณา โดยมีวิธีการเก็บข้อมูลและคำนวณเหมือนกับ CPI เพียงแต่จะไม่นำสินค้าในหมวดอาหารสดและพลังงานมาคิดอีกด้วย

ถัดมาดัชนีด้านราคาการบริโภคส่วนบุคคล (Personal Price Expenditure: PCE) โดยดัชนี PCE จะมีความคล้ายคลึงกับ CPI ตรงที่เป็นการติดตามราคาสินค้าและบริการที่ถูกซื้อจากผู้บริโภค แต่แตกต่างกันตรงที่ PCE จะเก็บข้อมูลจากการสำรวจยอดค้าปลีกภาคธุรกิจ แต่ CPI จะเก็บข้อมูลจากการสำรวจผู้บริโภค ดังนั้น PCE จะมีการเก็บข้อมูลที่ครอบคลุมมากกว่า ทำให้บ่อยครั้ง FED มีการให้ความสำคัญกับค่า PCE มากกว่าเนื่องจากมีความครอบคลุมมากกว่านั่นเอง

และดัชนีที่นิยมใช้วัดอัตราเงินเฟ้อตัวสุดท้ายก็คือ ดัชนีราคาผู้ผลิต (Producer Price Index: PPI) ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงราคาทั้งหมดที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนถึงจุดสุดท้าย ครอบคลุมตั้งแต่ ราคาวัตถุดิบ ค่าขนส่ง ไปจนถึงค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิตจนออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ในขั้นสุดท้าย โดยตัวเลข PPI นั้นจะนิยมใช้นำมาคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเนื่องจากตัวเลข PPI นั้นสามารถสะท้อนราคาที่เปลี่ยนแปลงไปได้รวดเร็วกว่า CPI

Advertisements

3. Consumer Confidence Index (ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค)

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคนี้ คือปัจจัยสำคัญที่จะมีการเก็บข้อมูลจากการทำผลสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างถึงมุมมองต่อเศรษฐกิจและด้านการบริโภค โดยจะนำผลสำรวจมาคำนวณเป็นดัชนีชี้วัด ตัวเลขดัชนีที่มากกว่า 50 จะหมายถึงผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นมากขึ้นและต่ำกว่า 50 ย่อมหมายถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง ดังนั้นหากความเชื่อมั่นลดลง FED อาจจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยชี้วัดทั้ง 3 ตัว ก็การคาดคะเนแนวโน้มของเศรษฐกิจ ที่อ้างอิงจากสภาพเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน ที่สามารถใช้คาดการณ์และประกอบการตัดสินใจลงทุนได้ในระดับหนึ่งเพียงเท่านั้น ไม่ได้เป็นสิ่งที่จะการันตีอัตราการขึ้นหรือลดดอกเบี้ยของ FED แบบ 100% เสมอไป

โดยบางครั้ง FED อาจใช้ตัวเลขจากหลายดัชนีเข้ามาใช้ในการประกอบการตัดสินใจ ที่คนส่วนใหญ่นั้นไม่อาจคาดการณ์ได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคระบาด สงคราม หรือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน รวมถึงยังมีอีกหลายปัจจัยที่ FED ใช้ประกอบการทำนโยบายทางการเงิน เช่น การเมือง สภาพตลาดหุ้น เป็นต้น ดังนั้นการปรับขึ้น-ลดอัตราดอกเบี้ยโดย FED นั้นก็อาจไม่สอดคล้องกับตัวเลขที่บ่งชี้ทางเศรษฐกิจเสมอไป

ดังนั้นทุกคนควรที่จะหมั่นติดตามข่าวสารด้านเศรษฐกิจจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้อย่างมีวิจารณญาณพยายามไม่ร้อนรนต่อข้อมูลข่าวสารมากมายที่หลั่งไหลเข้ามาในหน้าจอของตัวเอง และด่วนตัดสินใจด้านการเงินโดยปราศจากคำปรึกษาของผู้เชี่ยวชาญ

Mission To The Moon x Bitkub

ขอบคุณข้อมูลจาก : Bitkub

#trend
#missiontothemoonxbitkub
#missiontothemoonpodcast

Advertisements

LASTEST ARTICLES

LASTEST PODCAST

Mission To The Moon
Mission To The Moon
พื้นที่ที่สร้างขึ้นเพื่อแบ่งบันเรื่องราวเกี่ยวกับการทำธุรกิจ การตลาด แรงบันดาลใจ และข้อคิดในการใช้ชีวิต

POPULAR ARTICLES

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่มีความจำเป็น (Strictly Necessary Cookies)
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้งานและเข้าชมเว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้ อย่างไรก็ตาม คุณสามารถบล็อคการใช้งานคุกกี้ได้จากเบราว์เซอร์ที่ใช้งาน ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบกับการใช้งานเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้สำหรับการวิเคราะห์และวัดผลการทำงาน (Performance Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

บันทึกการตั้งค่า